วันเสาร์, กันยายน 06, 2568

#เราจะไม่ลืม ทรอม่าจากบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อรู้ว่า "วันนี้ประเทศเรามีท่านนายกหมื่นศพเป็นผู้นำประเทศ"


ภัควดี วีระภาสพงษ์ 
8 hours ago
·
ตอนนั้นลูกเราก็เป็นคนหนึ่งที่ไปช่วยเป็นที่ปรึกษาทางโทรศัพท์/ออนไลน์ ดูแลโรงงานแห่งหนึ่ง สุดท้ายก็มีป้าแม่บ้านคนหนึ่งเสียชีวิต ยังจำได้ว่าลูกเรามันนั่งร้องไห้ นี่ว่ามันรับดูแลไม่กี่เคสนะ และไม่ต้องไปดูแลคนป่วยโดยตรง ดังนั้นช่วงนี้พวกบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยผ่านช่วงนั้นมา ย่อมมีทรอม่าทางจิตใจ PTSD กันพอสมควรเมื่อต้องพบว่าวันนี้ประเทศเรามีท่านนายกหมื่นศพเป็นผู้นำประเทศ

Chutinart Chinudomporn
8 hours ago
·
ตอนช่วงโควิด เป็นแพทย์ประจำบ้านอายุรกรรม มีคนไข้เข้ามาเยอะมากทั้งในวอร์ดปกติ วอร์ดวิกฤต เยอะจนต้องเปลี่ยนวอร์ดธรรมดาเป็นวอร์ดวิกฤต พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล เวรเปล ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ รับความเสี่ยง หลายคนอุปกรณ์ป้องกันตัวเองยังไม่พร้อมแต่ถ้ามีเหตุการณ์เร่งด่วนก็พร้อมเข้าไปช่วยแม้ว่าตัวเองจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีน มีพยาบาลที่วอร์ดตั้งครรภ์ ทำงานจนเป็นลม หลายคนนั่งร้องไห้เพราะคิดถึงบ้าน กลัวไม่ได้กลับ แต่ก็ไม่กล้าทิ้งคนไข้ พยาบาลวอร์ดต้องฝึกฝีมือดูแลคนไข้ใส่ท่อช่วยหายใจ ที่ถูกน็อคด้วยยานำสลบหลายตัว จนไม่รับรู้อะไร และหลายคนก็จากไปแบบนั้น โดยใบหน้าสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าบุคลากรในชุดเหมือนนักบินอวกาศ ไม่ได้ยินเสียงอะไร เเม้กระทั่งเสียงฝากลาจากครอบครัวที่พวกเราพยายามตะโกนให้เขาฟัง
นอกเวลางาน สหายที่เจอกันในโลกออนไลน์ ชวนร่วมทำงานเป็นหมออาสาในกลุ่มดูแลกันเอง ซึ่งชื่อกลุ่มสะท้อนภาพงานในตอนนั้น ที่ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ มีแต่พวกเราช่วยกันเอง มีทีมแพทย์อาสา พยาบาลอาสาหลายคน กับทีมหน้างานที่ไม่ได้มีใครทำงานด้านการแพทย์ แต่ช่วยเหลือกันเต็มที่ ใส่ชุดป้องกันตัวเท่าที่มี ส่งยาตามบ้านเท่าที่หาได้ ประสานหายากันหัวขวิด บางคนเหนื่อยอยู่บ้าน ก็ต้องซื้อยาพ่นปอด หาเครื่องออกซิเจนเท่าที่มี ขับไปดูอาการ หนักสุดคือคนงานที่ถูกขังอยู่ในค่ายคนงานด้วยนโยบาย Bubble and seal คือปิดค่ายคนงานสนิท ช่วงแรกแม้แต่อาหารยังส่งเข้าไปไม่ได้จนต้องโยนอาหารข้ามรั้ว มีทหารมายืนคุม จนช่วงหลัง เราพอติดต่อกับแคมป์ได้บ้าง หมอแต่ละคนก็จะช่วยรับผิดชอบแคมป์แต่ละแคมป์ บางแคมป์ก็ไม่มีคนป่วยหนัก แต่เขาทุกคนล้วนแต่กังวลว่าจะเข้าถึงการรักษาได้ยังไง โดยเฉพาะคนงานข้ามชาติ ที่นายจ้างบางคนดูแลดีมาก ขับรถเข้าไปดูแล ให้แจ้งอาการรายงาน หายาส่งเข้าไป แคมป์ที่เพื่อนช่วยดู มีคนตายในแคมป์ ต้องฝังกันเองในนั้น เพื่อนที่ต้องทำงานในโรงพยาบาลท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด เจอคนไข้เสียชีวิตไปอย่างเงียบๆ ถึงกับดิ่งหนัก
ส่วนตัวมีสองคนที่ตายระหว่างการช่วยหาโรงพยาบาล คุณลุงที่นอนออกซิเจนเหลือ 80 กว่าที่บ้าน ไม่มีที่ไหนรับ จนต้องบอกว่าให้เอาไปทิ้งหน้าห้องฉุกเฉิน สุดท้ายก็ยังถูกส่งกลับมา ลูกโทรมาบอกหลังจากนั้นสองวันว่าคุณตาเสียชีวิตแล้ว ในโรงพยาบาล เราบอกคนไข้บางคนตามจริง ว่าเราไม่มีเตียงรับแล้ว ไม่จะมีเสียงร้องขอเท่าไหร่ก็ตาม
เสียงร้องไห้ทางสายโทรศัพท์ตอนที่เราแจ้งญาติว่าคนที่เขารออยู่จากไปแล้ว ต้องโทรแจ้งการเสียชีวิตแทบจะยกครอบครัวให้กับคนที่เหลืออยู่แค่คนเดียว เรายังจำเสียงกรีดร้อง เจ็บปวด ราวกับตายไปด้วยยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ลำพัง คนที่บินมาไกลจากต่างประเทศเพื่อมาดูใจครั้งสุดท้าย แต่เจอแค่ถุงดำที่ห่อสามชั้น ห้ามเปิดและต้องเผาไปเช่นนั้น คุกเข่ากราบเพื่อขอเห็นหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย
ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่น่าหดหู่ คนแย่งชิงวัคซีน กลับมาจากที่ฉีด ติดเชื้อ เสียชีวิต บุคลากรไม่ได้วัคซีน แต่มี VIP ในสนามกอล์ฟได้ฉีดก่อน เราต้องไปเรียกร้อง mRNA วัคซีนกันเอง ตอนที่ไปเรียกร้อง ถูกทหารเดินตามถ่ายคลิป ถ่ายป้ายทะเบียน มีคนโทรไปหาที่สถานีข่าวอ้างเป็นหน่วยงานความมั่นคง ขอข้อมูลว่าพวกเราเป็นใคร เส้นทางการเงินมาจากไหน เราไม่มีอะไร เราแค่อยากมีชีวิตและเราอยากให้คนไข้ของเรารอดไปด้วยกับเรา
วันนี้ หนึ่งในคนที่ทำให้เราสิ้นหวังมากที่สุด ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางเสียงโหวตของพรรคที่เคยเป็นความหวัง พรรคที่เคยช่วยเรียกร้องหายา หาอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ พรรคที่เคยอภิปรายเรื่องวัคซีน และที่มาของวัคซีนจนโดนฟ้องหลายคดี
เราแค่อยากจะมีหวัง และอยากจะเห็นคนมีหลักการ ที่ไม่โค้งงอให้ใครเพียงเพราะโอกาส
ทุกวันนี้ ชื่อคนไข้หลายคนที่เสียชีวิตไป จำไม่ได้อีกแล้ว แต่ยังจำเรื่องราวของเขาได้ ถ้าหากเราลืมสิ่งเหล่านี้ไป ก็จะไม่มีใครที่อยู่ในอำนาจช่วยจดจำอีกต่อไปแล้ว
#เราจะไม่ลืม

ภัควดี วีระภาสพงษ์ 
8 hours ago
·
มิตรหมอคนหนึ่ง:
#ผมไม่เคยลืม ยาวหน่อยเรื่องนี้
ช่วงที่โควิดระบาดหนักมาก ตอนนั้นไม่ได้กลับบ้านเลยอยู่ติดโรงพยาบาลชุมชนตัวเอง ทำงานหนักมาก มีเพื่อนหมอวัยเดียวกัน 4 คนทำงานด้วยกัน เราเฝ้าผู้หญิงคนนึงกันทุกอาทิตย์ เป็นผู้หญิงอายุ32ปี เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว เกิดภาวะหัวใจโตขนาดเกือบเท่าทรวงอก เสียงหัวใจเอาหูไปนาบใกล้ๆยังได้ยิน ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายน้ำท่วมปอดบ่อยมาก ร่างกายก็ผอมลงทุกวัน ความหวังเดียวชีวิตเค้าตอนนั้นคือเค้าได้คิวผ่าตัดหัวใจจากโรงพยาบาลราชวิถี แล้วเค้าได้คิวแรกด้วยกำลังจะได้ผ่าตัด แต่เพราะโควิดที่ล๊อคดาวกระทันหันอย่างไม่มีกำหนดและไม่มีวัคซีนนำเข้ามาเลย ทำให้ผมต้องประคับประคองชีวิตเค้าอย่างมีความหวัง ส่วนเค้าก็จะมาแอดมิทเพราะน้ำท่วมปอดแทบจะทุก 2-4 อาทิตย์ แค่มาเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าวินิจฉัยอะไร มีวันนึงก็จำได้ว่าแกเหนื่อยมาอีกก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยไป ผมถามเค้าว่า ‘‘พี่แล้วช่วงนี้พี่หากินยังไง ทำงานไหวไม๊’’
‘‘ก็ขายน้ำอยู่หน้าบ้านพี่ทำได้แค่นั้น เท่าที่กินไหว’’
‘‘พี่มีลูกรึยัง’’
‘‘มีแล้ว 8 ขวบเอง’’ ………
‘‘แล้วสามีพี่ล่ะคับ’’
‘‘เลิกกันตั้งแต่เด็กเกิดแล้ว พี่เลิกสนใจมันนานแล้ว ดูลูกให้ดีก็พอ’’
‘‘พี่อดทนหน่อยนะ พวกผมจะดูพี่จนกว่าพี่จะได้ผ่าตัดหัวใจนะ’’
พี่สาวเค้ายกมือไหว้ผม ‘‘พี่ไม่มีที่พึ่งแล้วฝากน้องๆหมอด้วยนะ’’ เค้าขอบคุณผมและเพื่อนหมอทุกคนที่ดูแลเค้าอย่างดี ทั้งสอนการกินน้ำ สังเกตอาการตัวเอง ดูปัสสาวะ ผมกับเพื่อนมักจะไปราวน์เค้าแล้วฝากเวรกันไปมา เวลาเค้ามาแอดมิทเมื่อไหร่ พอลงเวรก็จะบอกว่าพี่สาวคนนี้มาอีกแล้วนะ ฝากดูด้วย ทุกคนประคบประหงมพี่คนนี้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ว่ามีเด็กอีกคนรอเค้าอยู่ แต่พวกผม4คนก็รู้กันดีว่าถ้าไมไ่ด้ผ่าตัดมันจะมีสักวันนึงที่เค้าต้องตาย ก็พูดกันว่าถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากอยู่เวรคืนนั้น มันคงเป็นภาพติดตาเราไม่อยากปั๊มหัวใจเค้าเลย
และแน่นอนว่าชายที่ซวยที่สุดคนนั้นก็คือผมเอง คืนวันที่ 31 มีนาคม ตอน 4 ทุ่ม ในดินแดนชนบทอีกเช่นเคย พยาบาลโทรมาหาว่าพี่สาวนอนในวอร์ดเหนื่อยไม่ไหวแล้ว ผมก็เดินไปดู แกหายใจเป่าปาก พูดได้ เหนื่อยมากจิงๆ เปิดดูชาร์ทแกปัสสาวะออกน้อยลงเรื่อยๆมาหลายวัน
‘‘พี่เคยโดนใส่ท่อช่วยหายใจไม๊’’
‘‘เคยมา2รอบแล้ว’’
‘‘เจ็บไม๊คับ’’
‘‘มากๆ
’’ผมขอใส่ได้ไม๊ ถ้าไม่ใส่พี่ไม่ไหวแน่เลย แล้วจะส่งตัวไปโรงพยาบาลจังหวัด‘‘
’’พี่จะตายไม๊น้องหมอ
’’ไม่พี่ มีผมอยู่ ผมเก่งสุดใน รพ แล้ว‘‘
ระหว่างนั้นก็มีเด็กมุดออกจากใต้เตียง รพ เป็นน้องผู้ชายคนนี้วัย8ขวบ แกมานอนเฝ้าแม่เค้าหลายคืนติดกันแล้ว ผมก็พึ่งเห็นตอนนั้น เด็กยืนมองแม่อยู่ข้างเตียงกำหมัดแล้วน้ำตาก็ใหลออกมา ไม่อยากเห็นแม่ตาย
‘‘ไอน้อง ออกไปก่อนนะ มันเจ็บนิดหน่อย ไม่อยากให้ดู ออกไปก่อน แล้วโทรเรียกญาติผู้ใหญ่คนอื่นให้หน่อย พี่จะคุยด้วย’’ หลังใส่ท่อช่วยหายใจเสร็จ ก็รอเตรียมการนิดหน่อยเพื่อส่งตัวไป รพ.จังหวัด ผมเครียดมากเลย ผมเดินวนไปวนมาอยู่ไม่สุข คือมันต้องเดินทางต่อไปอีก 50-60 กม ตรงโถงทางเดินก็มีน้องคนนี้ยืนสะพายกระเป๋า มองแม่จากไกลๆอยู่ ก็เลยเดินไปปลอบใจน้อง
‘‘เป็นไงบ้างน้อง เก่งจังเลยมาเฝ้าแม่เหรอคับ??’’
‘‘………แม่หนูจะตายไม๊พี่หมอ??‘’
คำถามนี้เป็นภาระทางจิตใจผมอย่างหนักหน่วงมาก
แต่ก็ต้องตอบไปว่า ‘‘ปลอดภัยแน่นอนเชื่อพี่นะ ” ปกติเกลียดเด็กชิบหายแต่ตอนนั้นรู้สึกสงสารเด็กชายคนนี้ที่สุดและนับถือหัวใจเค้ามากๆ
ใช่ครับระหว่างทางจากอำเภอชุมชนผม ไปยังจังหวัดห่างกัน50-60กิโล ขับรถฝ่าในความมืด คนไข้เสียชีวิตระหว่างทางที่ออกไปได้ 20 นาที หัวใจเค้าหยุดเต้นระหว่างทาง แม่คนไข้บอกผมว่าไม่ต้องปั๊ม เค้าทรมานมามากพอแล้ว
ส่วนผมก็เหมือนถูกกัดกินหัวใจ ร้องไห้เดินกลับห้องนอน รู้สึกแย่มาก ศพของเค้าผมไม่กล้าแม้แต่จะไปยกมือไหว้ขอโทษเค้าด้วยซ้ำ ญาติของเค้าไม่กล้าแม้จะไปเจอหน้าด้วยซ้ำ
ผมไม่เคยลืมความแค้นต่ออนุทิน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ผมไม่เคยลืม พื้นที่ที่ผมทำงานเป็นฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทย คนที่นั่น90%เลือกภูมิใจไทยหมด มีบ้านใหญ่กำแพงแม่งยังกะวัง ส่วนชาวบ้านอยู่กับสังกะสี คุณภาพชีวิตเหี้ยๆ
ผมขอสาปแช่งตัวมันที่ยืนบนซากศพคนอื่น บริหารวัคซีนผิดพลาด จนชีวิตคนล้มตายไปไม่รู้กี่คน ใครลืมเรื่องของมึง แต่สำหรับกูมันติดตายันทุกวันนี้
และขอสาปแช่ง ทุกคนที่ช่วยต่อลมหายใจอนุทิน ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจให้ทั้งพรรคเพื่อไทยที่จับมือกับมันตั้งรัฐบาล และพรรคส้มที่โหวตให้คนแบบเป็นนายก
พวกมึงทุกตัวคงไม่เคยลิ้มรสชาติที่พ่อแม่มึงต้องมาตาย วิงวอนเกาะรั้วโรงพยาบาลขอเตียงนอน
ขอสาปแช่งให้สักวันนึงมึงต้องเห็นคนรักมึงตายต่อหน้าต่อตาด้วยความทรมาน มากกว่าภาพที่กูเห็น100เท่า1,000เท่า พวกมึงมันเหี้ย
พวกมึงหยุดพูดจาสวยหรูผ่าวิกฤติผ่าเหี้ยไรสักที คนที่เดือดร้อนไม่เคยเป็นพวกมึงจิงๆ เป็นคนพวกนี้ ชาวบ้านตัวเล็กๆทั้งนั้น
#เราจะไม่ลืม
.....


Ek Guevara
10 hours ago
·
“ไม่เคยลืม”


Ek Guevara
7 hours ago
·
เรามีเก็บไว้เยอะ…



บีบีซีไทยชวนทำความเข้าใจ รัฐบาลเสียงข้างน้อยไร้เสถียรภาพ-ผลักดันอะไรไม่ได้จริงไหม แล้วอนาคตรัฐบาลอนุทินจะเป็นอย่างไร


อนุทิน ชาญวีรกูล : รัฐบาลเสียงข้างน้อยในการเมืองไทย - BBC News ไทย

https://www.youtube.com/watch?v=piDOGOqV9Nk


วันวาน ไม่หวานนะ ย้อนดูบทบาท “ภูมิใจไทย” 2566-2568 ปักธงตรงข้ามกับก้าวไกล ไม่ให้แตะ 112

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1192456762927941
iLaw 
Yesterday
·
ย้อนดูบทบาท “ภูมิใจไทย” 2566-2568 ปักธงตรงข้ามกับก้าวไกล ไม่ให้แตะ 112
29 สิงหาคม 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นจากตำแหน่ง โดยพร้อมรับเงื่อนไขผ่านทางตันของพรรคประชาชนทั้งเรื่องยุบสภาภายใน 4 เดือน และการทำประชามติเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยยืนหยัดอยู่บนเส้นทางการเมืองด้วยวิธีการหลากหลาย ทั้งสลับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร “ดูด” เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรคอื่นๆ เข้ามาอยู่ใต้สังกัด การขัดขวางร่างกฎหมาย และความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ทำให้กรรมการบริหารพรรคและผู้เกี่ยวข้อง 91 คนถูกดำเนินคดีในกรณีโกงการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทั้งยังวางตัวเป็นคู่ตรงข้ามกับพรรคการเมืองสีส้ม ทั้งอนาคตใหม่-ก้าวไกล-ประชาชน มาตลอดเส้นทาง
ชวนย้อนดูบทบาทของพรรคภูมิใจไทยต่อประเด็นสำคัญบนหน้าการเมืองไทย ผ่านวาทะของสมาชิกพรรค นับแต่การเลือกตั้งปี 2566 จนถึงครึ่งแรกของปี 2568 ก่อนที่พรรคภูมิใจไทยจะไปร่วมงานในฐานะฝ่ายค้านกับพรรคการเมืองสีส้มและเตรียมร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว
ปี 66 พูดย้ำชัด ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
27 มีนาคม 2566 หลังจากการยุบสภาของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่นาน อนุทิน ชาญวีรกูลให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าด้วยทิศทางการจับมือตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2566 ว่าสำหรับพรรคภูมิใจไทย ชั่วโมงนี้ ต้องตั้งหน้า ตั้งตา ทำให้ประชาชนวางใจ มีเป้าหมายการได้ ส.ส.เท่าไร ต้องไปให้ถึง หรือทำให้ได้มากที่สุด
อนุทินยังกล่าวอีกว่า “ขอให้ดูผลการเลือกตั้ง พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด ได้สิทธิ์ตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าไม่สำเร็จก็ลำดับถัดไป จนกว่าจะมีการรวมเสียงสำเร็จ มันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด อย่าไปกลัว รัฐบาลเสียงข้างน้อย ประเภท มี ส.ส.น้อยกว่า แต่ได้เป็นรัฐบาล เพราะเสียง ส.ว. เพราะมันเกิดยาก ถ้าฝืนทำแบบนั้นเหมือนตายทั้งเป็น เหมือน ส.ว. มาส่งลงเรือ ส.ส. ถ้าพวกไม่มากพอ ก็อยู่ไม่ได้ ส่วนใครจะจับใคร ให้ไปดูหลังการเลือกตั้ง”
25 มิถุนายน 2566 อนุทินให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าด้วยกระแสข่าวจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยอาศัยเสียงสว. ชุดพิเศษว่า การเป็นรัฐบาลมันต้องมีความเข้มแข็ง ถ้าเป็นเสียงข้างน้อยก็รอวันตาย เริ่มจากการแถลงนโยบาย ถ้าเป็นเสียงข้างน้อยกฎหมายมันจะไม่ผ่านรัฐบาลก็จะสิ้นสุด อาจจะยุบสภา หรือลาออกก็ได้ มันเกิดได้หมด ถ้าทำก็รอวันตาย โดยยังกล่าวอีกว่า “จะไปทำเพื่อสะใจ มันไม่ใช่ นี่เรื่องบ้านเมือง จะทำอะไร ต้องยั่งยืน นี่คือเหตุผลที่เรานิ่ง ไม่สร้างเงื่อนไขทางการเมือง ให้พรรคอันดับ 1-2 ตั้งรัฐบาลก่อนเลย พรรค 1 ตั้งไม่ได้ ก็เป็นโอกาสของพรรคลำดับถัดไป นี่ผ่านมา 6 สัปดาห์ ยังไม่เห็นโอกาสของพรรคอันดับ 3 เลย”
11 กรกฎาคม 2566 ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยได้แถลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น โดยระบุว่า พรรคยึดตามแนวทางการสื่อสารของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค โดยไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ร่วมมือกับพรรคหรือบุคคลที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112
20 กรกฎาคม 2566 อนุทินให้สัมภาษณ์ว่าด้วยการจัดตั้งรัฐบาลว่า พรรคภูมิใจไทยรักษามารยาท เล่นตามกติกา เพราะยังไม่ถึงพรรคลำดับที่ 3
“ภูมิใจไทย เรายังเหมือนเดิมนะ เราไม่สามารถร่วมงานกับพรรคที่จะแก้ ม.112 และไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตอนนี้สถานการณ์ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เรารักษามารยาท รักษากติกา เรื่องการตั้งรัฐบาล ต้องไปถามพรรคที่เขาจัดตั้งอยู่ตอนนี้” อนุทินกล่าว ทั้งยังย้ำว่า พรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้คิดจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นพรรคอันดับที่ 3 ตอนนี้เป็นกำลังใจให้พรรคอันดับต้นๆ จัดตั้งรัฐบาลให้ได้เสียก่อน
ต่อมาวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยในขณะนั้นยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า พรรคภูมิใจไทยยังคงหลักการการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยหลักการ 3 ข้อ คือ
1. จะต้องไม่มีนโยบายเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
2. ไม่สามารถทำงานกับพรรคก้าวไกลได้
3. ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ประกาศชัดวันโหวตนายกฯ มีก้าวไกล ไม่มีภูมิใจไทย
จุดยืนสำคัญต่อการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2566 ระบุชัดว่า พรรคภูมิใจไทยจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนโยบายหนึ่ง คือ การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
17 พฤษภาคม 2566 พรรคภูมิใจไทยได้ออกแถลงการณ์ย้ำจุดยืนดังกล่าว โดยระบุว่า จุดยืนนี้เป็นหลักการสำคัญของพรรคภูมิใจไทยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือต่อรองได้ ทั้งการเรียกร้อง ข่มขู่ กดดัน ต่อพรรคภูมิใจไทยให้สนับสนุนแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขและยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะไม่มีผลให้พรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์และจุดยืนได้
11 กรกฎาคม 2566 ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยได้แถลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนั้น โดยระบุว่า พรรคยึดตามแนวทางการสื่อสารของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค โดยไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่ร่วมมือกับพรรคหรือบุคคลที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112
13 กรกฎาคม 2566 ระหว่างการอภิปรายก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. ภูมิใจไทยอภิปรายเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลไว้ตอนหนึ่งว่า อยากจะฝากถึงผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาลก็ตาม คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้านคน คนไทยไม่ได้มีแค่ 25 ล้านคน ท่านต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคน 60 กว่าล้านคน และต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง โดยคน 14 ล้านเสียงเป็นจำนวนไม่ถึง 20% ของประชากรในประเทศ แต่อย่าระเริงกับคำว่า 14 ล้านเสียง
ชาดายังกล่าวถึงประเด็นการแก้มาตรา 112 ว่า “ที่เจ็บปวดกว่านั้น มีคำพูดของผู้นำจิตวิญญาณพรรคก้าวไกลว่า ถ้าพิธาได้เป็นนายกฯ จะให้ไปลงสัตยาบรรณกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งมีสาระสำคัญ สามารถฟ้องประมุขรัฐได้ อันนี้รับไม่ได้ จะให้พิธาไปลงนาม หมายความว่า คนนอกประเทศฟ้องในหลวงได้ ผมทำใจไม่ได้ หลับตานึกสิครับ พระมหากษัตริย์สูงสุดที่คุ้มกะลาหัวเราไปถูกฝรั่งมังค่าสอบสวน เป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตราย”
ชาดากล่าวต่อไปว่า “ท่านจะแก้ทั้งมาตราหรือจะทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญ ท่านคิดไหมครับ ว่าหากแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บ้านเมืองนี้จะสงบ บ้านเมืองนี้จะเจริญ? วันนี้ท่านได้รับเลือกตั้งมาแล้ว ท่านเก็บเรื่องนี้ไว้ในกระเป๋าไม่ได้หรือ ประเทศนี้ ถ้าแก้กฎหมาย(อาญา) มาตรา 112 ไม่ได้แล้วมันจะล่มจม ผมจะไม่ว่าเลย ท่านเสนอนโยบาย 200 – 300 ข้อ ท่านเป็นความหวังของคนไทยที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ท่านละเพียงเรื่องเดียว ท่านไม่ต้องไปด่าสว. (สมาชิกวุฒิสภา) ท่านไม่ต้องไปด่าฝ่ายตรงข้าม ท่านเป็นนายกฯ แน่ ถ้าไม่มี 112 ท่านยังไม่ยอมเลยครับ แต่ท่านไม่ยอมอะไรเลย ผมจึงอยากจะถามว่าพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกล เกิดมาเพื่อจะแก้ (มาตรา 112) อย่างเดียวหรือ แก้มาตรา 112 หรือ ถ้าไม่แก้แล้วประเทศนี้มันจะล่มจมหรือ มันไม่ใช่ครับ มันมีเรื่องที่ต้องทำ ทำเรื่องที่ลุงตู่ (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ทำแล้วไม่ดี ที่โดนด่า ผมเห็นด้วย ทำไปดิ เยอะแยะไปหมดความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์…”
“ถ้าท่านถือว่าการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นเป็นพันธกิจของท่าน เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องกระทำ ต้องทำให้ได้ ผมและพรรคภูมิใจไทย และพี่น้องประชาชนอีกหลายคน ก็ถือว่าเป็นพันธกิจของพวกเราเหมือนกัน ที่จะคัดค้านท่านทุกวินาที ทุกอย่าง ทุกทาง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ” ชาดาย้ำ
ชาดายังบรรยายถึงต้นตระกูลที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาที่ประเทศไทย “ได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารของในหลวง ด้วยความเคารพ วันนี้มาเป็นผู้แทน อยู่ดีกินดีกว่าคนไทยแท้ๆ เป็นล้านคน…แล้วถ้าผมไม่สำนึกไม่รู้กตัญญูต่อแผ่นดินนี้ผมก็ไม่สมควรเป็นคน ผมเรียนว่า บ้านเรามีเจ้าของ สิ่งที่บรรพบุรุษเราทำมามันมากมายเหลือเกิน เราอาศัยเขามาอยู่ มาขอเขาอยู่” … “ถ้าไม่ด้วยพระเมตตาของระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านไม่ได้เลือกตั้งหรอกครับ ท่านไม่มีทางได้ 140 ที่นั่งครับผมพูดได้เลย ท่านลองไปพม่า อเมริกาช่วยอะไรได้ ทหารมายิงดิ้นหมด วันนี้เหมือนกันครับ ประเทศนี้ถ้าไม่มีในหลวงไม่มีสถาบันฯ ลุงตู่กับลุงป้อม (พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ไม่กลับบ้านง่ายๆหรอกครับ (หัวเราะ) มีแต่จะลากเอ็ม 16 มาเล่นกับพวกคุณ”
จุดยืนเข้มแข็งต่อมาตรา 112 ไม่แก้ไข-ไม่นิรโทษกรรม
นอกจากจุดยืนไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ด้วยเหตุผลไม่สนับสนุนพรรคที่นโยบายแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 แล้ว จุดยืนต่อกรณีมาตรา 112 ของพรรคภูมิใจไทยในสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ที่มีมาอย่างเข้มแข็ง คือไม่แก้ไข และไม่นิรโทษกรรมให้คดีมาตรา 112��นอกเหนือจากการอภิปรายของชาดา ไทยเศรษฐ์ ในวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อ 13 กรกฎาคม 2566 แล้ว ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม-สร้างเสริมสังคมสันติสุข จำนวน 5 ร่าง เมื่อวันที่ 9 และ 16 กรกฎาคม 2568 พรรคภูมิใจไทยยังเสนอร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. โดยมีเนื้อความทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ใส่ไว้ให้เข้มแข็งขั้นสุดว่า จะไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 โดยใส่เป็นหลักการของร่างกฎหมายเลข ซึ่งเมื่อลงมติรับร่างนี้ไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขในหลักการได้ในวาระที่สอง
โดยในการอภิปรายเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ภราดร ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ผู้อภิปรายเสนอร่าง ได้อภิปรายว่า จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย คือ จะไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องคดีตามมาตรา 112 เด็ดขาด โดยจะนิรโทษกรรมต่อการเรียกร้องทางการเมืองเฉพาะการเรียกร้องต่อรัฐบาล อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเท่านั้น
ภราดรยังกล่าวอีกว่า สังคมนี้มีความเห็นมากมาย แม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทยเองก็แสดงจุดยืนชัดเจน “ใครก็ตามที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็ไม่สามารถนิรโทษกรรมให้ได้ แม้กระทั่งประชาชนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าเป็นส่วนมากหรือน้อย แต่เชื่อว่าเป็นส่วนมากที่ไม่เห็นด้วย ถ้านิรโทษกรรมให้จะไปสร้างปัญหาให้สังคมหรือไม่ กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาชุมนุมเรียกร้องไม่จบสิ้นหรือไม่”
ทั้งนี้ ภราดรได้ให้เหตุผลอ้างถึงการที่พรรคภูมิใจไทยเคยมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2556 ว่า เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอันนำมาสู่การรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
�และเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568 กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้อภิปรายสรุปร่างว่า พรรคภูมิใจไทยไม่อยากเห็น “กงล้อประวัติศาสตร์” กลับไปสู่จุดเดิม จึงพยายามหาทางออกให้สังคมสันติสุขที่ทำให้พอจะขยับไปข้างหน้าได้บ้าง โดยไม่กระทบกับคนส่วนใหญ่ในสังคมจนทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับคนกลุ่มดังกล่าว โดยย้ำจุดยืนว่าไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริต ความผิดต่อชีวิต และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
กรวีร์ยังได้เสนอว่า “มีช่องทางอื่นครับ เช่น ถ้าสำนึกผิด ก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ ผมเห็นมีหลายกรณี มีหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้ที่ออกมาร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นนักคิด นักวิชาการที่เขาถูกลงโทษไปแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ ผมก็เห็นทางสถาบันพระมหากษัตริย์ก็พระราชทานอภัยโทษลงมานะครับ การกระทำแบบนี้ต่างหากครับ ที่จะทำให้คนอีกส่วนหนึ่งของสังคมเขาเห็นว่า ถ้ามีคนที่กระทำผิดตามกฎหมายแล้วรับโทษตามกฎหมายแล้ว ได้รับความยุติธรรมแล้ว ออกมาสู่สังคม เราจึงจะอยู่กันได้บนความยุติธรรม บนสังคมที่มันเป็นสุขอย่างแท้จริง”
ที่สุดแล้ว สส. พรรคภูมิใจไทยได้โหวตรับหลักการร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุขทั้งสามฉบับ โดยปัดตกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกลเดิมและเครือข่ายภาคประชาชน ที่เสนอให้นิรโทษกรรมรวมทุกคดีทุกคน
ชาดา ไม่ปล่อยให้พฤติกรรมบีบแตรใส่ “ขบวนเสด็จ” เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย
4 กุมภาพันธ์ 2567 ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ “แฟรงค์” นักกิจกรรม ถูกกล่าวหาว่าขับรถยนต์ใช้ช่องจราจรเข้าสู่ทางร่วมเข้าต่างระดับมักกะสัน ซึ่งปิดการจราจรเนื่องจากจะมีขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวพยายามแทรกรถยนต์คันอื่นๆ ที่ชะลอรถ และบีบแตรยาวประมาณ 1 นาที
8 กุมภาพันธ์ 2567 ชาดา ไทยเศรษฐ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตำรวจอยากจะดำเนินการทางกฎหมาย แต่ก็ไม่กล้า เดี๋ยวจะเป็นการระคายเคืองต่อสถาบัน แต่พฤติกรรมที่ตะวันและแฟรงค์ถูกกล่าวหาเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
ชาดายังกล่าวอีกว่า “ผมถือเป็นพฤติกรรมหาเรื่อง ซึ่งเป็นคนที่เนรคุณต่อแผ่นดิน อย่าคิดว่าเป็นเรื่องหล่อเรื่องเก่งนะครับ มันเป็นเรื่องที่ไประคายเคืองสถาบันหลักของประเทศ มันไม่ใช่เขาไม่มีทางให้ไป แต่ไม่ไปเอง ก่อกวน เป็นพฤติกรรมที่ก่อกวนและตั้งใจ ไม่ใช่ขบวนเสด็จจะไปขวางเขาซะเมื่อไร”
“ตามรูปที่ดูจากคลิปก็หลบอยู่ทางฝั่งขวา ทางซ้ายไปได้ แต่นี่คือพฤติกรรมหาเรื่อง เป็นสิ่งที่ไม่งาม ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ถือว่าคุณทำเรื่องไม่ถูกต้อง เท่ากับคุณไปด่าพ่อด่าแม่ตัวเองนะเนี่ย พฤติกรรมแบบนี้ใช้ไม่ได้ และผมคงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ไม่ยอมแล้ว มีปัญหาแน่ ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทยแน่นอน”
ต่อมา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ตะวันและแฟรงค์ถูกออกหมายจับจากกรณีถูกกล่าวหาว่าบีบแตรใส่ขบวนเสด็จ ถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116 ก่อความเดือดร้อนรำคาญในท่ีสาธารณะ และข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการถ่ายไลฟ์เฟซบุ๊ก ไม่ถูกตั้งข้อหามาตรา 112
ไม่เร่งทำประชามติ ไม่เอาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
หนึ่งในเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยแสดงตัวคัดค้านญัตติของพรรคก้าวไกลในสภา คือ การส่งเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการจัดทำประชามติรัฐธรรมนูญ โดยวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายคัดค้านญัตติที่พรรคก้าวไกลเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อถามความเห็นประชาชนว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ภราดรอภิปรายว่า พรรคภูมิใจไทยเคยอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ไปแล้วว่า ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยระบุเหตุผล 3 ข้อที่ไม่เห็นด้วยกับญัตติของพรรคก้าวไกลไว้ว่า
1. รัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาหาแนวทางเพื่อจัดทำประชามติอยู่แล้ว ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เข้าร่วมคณะกรรมการชุดดังกล่าวเพื่อเสนอความเห็นโดยไม่จำเป็นต้องเสนอญัตติในสภาผู้แทนราษฎร
2. เนื้อหาของญัตตินี้ โดยภราดรกล่าวว่า ไม่สามารถลงมติเห็นด้วยกับญัตตินี้ได้ เพราะมีคำถามเสนอรัฐบาลว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยการแก้ไขหมวดที่ 1 บททั่วไป และหมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ นั้น พรรคภูมิใจไทยไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญ
3. การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมดจากประชาชน ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะมีคนจากทุกสาขาอาชีพ และตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา และกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งการเลือกตั้ง 100% ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ แต่ไม่ใช่ขัดขวางการเลือกตั้ง สสร. อาจจะมีการเลือกตั้ง สสร. แต่อาจจะมีการเสริมตัวแทนทุกกลุ่มเข้าไปด้วยเพื่อเป็นทางออกได้หรือไม่
โดยภราดรย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าได้ตีความเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง สสร. 100% ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติ หรือแม้กระทั่งไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เพียงไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะพรรคภูมิใจไทยเองก็เคยเสนอให้มี สสร. เข้ามาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
ต่อมา 8 พฤศจิกายน 2566 ศุภชัย ใจสมุทร อดีต สส. และแกนนำพรรคภูมิใจไทยยื่นเรื่องต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สอบสวนเรื่องการขับปดิพัทธ์ สันติภาดา สส. พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง เนื่องจากส่งผลต่อการครองผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของหัวหน้าพรรคก้าวไกลตามมาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ว่า ผู้นำฝ่ายค้านจะมาจากสส. ที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่จำนวนสส. มากที่สุด และไม่มี สส. ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านจะพ้นตำแหน่งหากมีสส. ในพรรคตนเองดำรงตำแหน่งสามตำแหน่งดังกล่าวแม้เพียง 1 คน
ศุภชัยเห็นว่า มติกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลดังกล่าวไม่ได้ปรากฏว่ามีการสอบสวนทางวินัยปดิพัทธ์ตามข้อบังคับพรรค และไม่มีมติสมาชิกพรรค 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคและ สส. ของพรรคตามมาตรา 101 (9) ของรัฐธรรมนูญ อันเป็นเหตุให้กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุบพรรคได้
https://www.ilaw.or.th/articles/54583
...

Yingcheep Atchanont
วันวาน ไม่หวานนะ

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1192456762927941



แม้แต่ Financial Times ยังได้กลิ่นกัญชาโชยมาแต่ไกล


Pipob Udomittipong
12 hours ago
·
Financial Times เรียกนายกฯ คนใหม่ของไทยว่า ‘cannabis king’ และบรรยายว่า อนุทิน ชาญวีรกูล 58 ปี มาจากครอบครัวเจ้าของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ และเป็น Kingmaker ในประเทศไทยมายาวนานกว่าทศวรรษ เป็นที่รู้จักดีมากสุดจากการสนับสนุนกฎหมายกัญชาเสรี

@FT บอกต่อไปว่า อนุทินจะได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำในประเทศที่นายกรัฐมนตรี 5 คนถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยฝ่ายตุลาการในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา และเศรษฐกิจของประเทศก็กระเสือกกระสนดิ้นรนที่จะฟื้นตัว หลังการระบาดของโควิด-19

อนุทิน เป็นนักอนุรักษ์นิยมผู้ยึดมั่นในระบอบกษัตริย์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรบ.แพทองธาร ก่อนหน้านี้ เขาและพรรคเคยสนับสนุนรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้นำคณะรัฐประหาร

ในช่วงการระบาดของโควิด อนุทิน เป็นรมต.สาธารณสุข ในปี 2565 เขาสนับสนุนกฎหมายกัญชาเสรี แม้ว่าต่อมาเขาจะสนับสนุนการออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อจำกัดการใช้กัญชา

การเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ของเขา ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อ #พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองประชานิยม ซึ่งครอบงำการเมืองไทยมาเป็นเวลาสองทศวรรษ ภายใต้การอุปถัมภ์ของทักษิณ ชินวัตร บิดาของแพทองธาร


https://www.facebook.com/photo?fbid=10163022511726649&set=a.10150096728651649




มาแล้ว แผนผังแสดงความเชื่อมโยงระหว่าง "กลุ่มนักลงทุนลึกลับ" จากกัมพูชา และบริษัทต่างๆ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็น "นอมินี" ของพวกเขา เป็นไปได้มั้ยที่ ตลาดหุ้นไทยอาจกำลังถูกใช้เป็น ”เครื่องมือฟอกเงิน“

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1345236480305369&set=a.213364210159274
Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
19 hours ago
·
มาแล้วค่ะ แผนผังแสดงความเชื่อมโยงระหว่าง "กลุ่มนักลงทุนลึกลับ" จากกัมพูชา และบริษัทต่างๆ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็น "นอมินี" ของพวกเขา กับบริษัทต่างๆ ในไทย เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ (ณ วันที่ 5 กันยายน 2025) อัพเดทจากของเก่าพอสมควร

ขอไม่อธิบายรายละเอียดนะคะ มันเยอะมาก จะไปอธิบายทีเดียวในบทความซึ่งจะตีพิมพ์ประมาณวันที่ 13 กันยายน 2025 -- น่าจะเป็นตอนแรกและจะมีอีกหลายตอนตามมาค่ะ

แต่แค่ตอนนี้ อยากให้สังเกตว่า วันนี้มีบริษัทจดทะเบียนใน ตลท. อย่างน้อย 6 บริษัทแล้ว ที่ "กลุ่มทุนลึกลับ" กลุ่มนี้ถือหุ้นเกิน 10% ได้แก่ BCP, MFC, VGI, FSX, MVP และ GTV

ดังนั้นไม่ว่าคุณทักษิณจะบินกลับไทยมาหรือไม่ หรือมาเมื่อไหร่ และไม่ว่านายกฯ คนต่อไปจะเป็นใคร ครม. มีหน้าตาอย่างไร การถือหุ้นที่น่าสงสัยเหล่านี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไป จนกว่า ก.ล.ต. และ ป.ป.ง. จะเริ่มสนใจตรวจสอบว่า "เจ้าของตัวจริง" คือใคร และ "เงินมาจากไหน" ค่ะ

ป.ล. ขอเรียกร้องให้นักข่าวทั้งหลายทำข่าวเรื่องนี้ค่ะ ภาพใหญ่คือ แนวโน้มที่ตลาดหุ้นไทยอาจกำลังถูกใช้เป็น ”เครื่องมือฟอกเงิน“ — เงินสกปรกของผู้มีอำนาจในกัมพูชา โดยมีผู้มีอำนาจไทยมาเอี่ยวด้วย ในนี้ทำสกู๊ปข่าวเจาะเจ๋งๆ ได้หลายชิ้นมาก

#มหากาพย์นายหน้า
.....


เส้นทางซับซ้อน ตัวละครซ่อนเงื่อน ปมซื้อหุ้น "บางจาก" | ข่าวค่ำ | 2 ก.ย. 68

Thai PBS

Sep 2, 2025 
#ThaiPBS
​ปรากฏการณ์ “คลิปเสียง” ฮุน เซน เป็นสารตั้งต้น ที่นำไปสู่การพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกสื่อต่างชาติขุดคุ้ย และตีแผ่ปัญหาความสัมพันธ์และผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่างผู้นำไทยกับกัมพูชา ผ่านกลไก “นายหน้า” นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเรื่องการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย รวมไปถึงช่องว่างการทำงานในกองทุนประกันสังคม​

https://www.youtube.com/watch?v=CaGAdv6iHPY


ชวนรู้จัก “เอกชัย - บุญเกื้อหนุน -สุรนาถ” ผู้เผชิญคดี #ม110: จากยกฟ้อง สู่กลับเป็นลงโทษจำคุกถึง 16-21 ปี ที่ต้องเข้าเรือนจำรอคำสั่งประกันชั้นฎีกา คดีขัดขวางขบวนเสด็จ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
9 hours ago
·
ชวนรู้จัก “เอกชัย - บุญเกื้อหนุน -สุรนาถ” ผู้เผชิญคดี #ม110: จากยกฟ้อง สู่กลับเป็นลงโทษจำคุกถึง 16-21 ปี ที่ต้องเข้าเรือนจำรอคำสั่งประกันชั้นฎีกา
.
หลังช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ย. 2568) ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 5 คน ในคดี “ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 และถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ และเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ
.
จำเลยในคดีนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน ศาลพิพากษาจำคุก 21 ปี 4 เดือน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ, “ชำนาญ” (นามสมมติ) และ “ภาคิน” (นามสมมติ) ถูกพิพากษาจำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
.
นับว่าเป็นเวลาเกือบ 5 ปีเต็มแล้ว (2563 - 2568) ที่ทั้งห้าคนถูกดำเนินคดีและมีภาระผูกพันกับคดีความ มีจำเลยถึงสองคนถูกขังอยู่ในเรือนจำในชั้นสอบสวนหลังไม่ได้รับประกันตัว คือ ‘เอกชัย’ ถูกขัง 18 วัน และ ‘ตัน’ สุรนาถ ถูกขังอยู่ 13 วัน จนกระทั่งศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องฝากขังชั้นสอบสวน จึงทำให้ทั้งสองคนได้รับการปล่อยตัว
.
เวลาต่อมาเมื่อคดีดำเนินมาถึงชั้นศาล หลังสืบพยานกันเสร็จสิ้น เมื่อปี 2566 ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้าคนทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่า ไม่พบพยานหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศแจ้งเตือนให้กับผู้ชุมนุมได้รับทราบถึงการมีขบวนเสด็จ อีกทั้งตลอดเส้นทางที่ขบวนเสด็จใช้ ก็ไม่พบองค์ประกอบของการเป็นเส้นทางขบวนเสด็จตามปกติ ผู้ชุมนุมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน
.
แต่คดียังไม่จบอยู่ที่ศาลชั้นต้น หลังอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี จึงเป็นผลให้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาอีกในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาชั้นต้น เป็นลงโทษจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยอีกสี่คนจำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
.
แม้ภายหลังฟังคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวทั้งห้าคนเพื่อต่อสู้คดีในชั้นฎีกา แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาส่งคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณา ทำให้ทั้งห้าคนจะถูกส่งตัวไปคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่งประกันตัว ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ​ 2-3 วัน
.
.
ในโอกาสนี้ ชวนทำความรู้จักกับ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน และ “ตัน” สุรนาถ อีกครั้งหนึ่ง
.
เอกชัย หงส์กังวาน เป็นจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 50 ปี มีภูมิหลังเป็นคนกรุงเทพฯ จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ครอบครัวของเขามีธุรกิจส่วนตัว คือ การรับเหมาก่อสร้าง เอกชัยเคยเล่าว่าตัวเองนั้นไม่ได้ชอบการจัดการหรือบริหารมากนัก เขาชอบเรื่องการค้าขายเสียมากกว่า จึงลงเอยด้วยการประกอบอาชีพขายหวย กระทั่งได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 การสูญเสียการงาน ทำให้เขาผันตัวเองกลายมาเป็นผู้ชุมนุมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
.
เอกชัยเคยถูกขังในเรือนจำมาแล้ว 5 ครั้ง, ถูกลอบทำร้ายถึง 6 ครั้ง, ถูกเผารถยนต์ 2 ครั้ง ในช่วงที่เอกชัยเคลื่อนไหวตรวจสอบปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเข้มข้น และเคลื่อนไหวติดตามการหายไปของหมุดคณะราษฎร รวมทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐบุกไปคุกคามถึงบ้านนับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
.
เอกชัยเผชิญการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน จนถึงปัจจุบันเขาถูกดำเนินคดีถึง 30 คดี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคดีตามมาตรา 110 “ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี” ที่มีคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ในวันนี้
.
.
“ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมหิดล คณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลักสูตรนานาชาติ ปัจจุบันเขาเรียนจบแล้ว
.
บุญเกื้อหนุนเคยจัดกิจกรรมทางการเมืองในมหาวิทยาลัย เคยเป็นหนึ่งในผู้จัดแฟลชม็อบที่มหาวิทยาลัยมหิดล ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2563 และมีกลุ่มกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยที่เคยเคลื่อนไหวช่วงปี 2563 ชื่อว่า ‘Anti One China’ เพื่อแสดงความเห็นต่างเรื่องนโยบายการต่างประเทศของจีน
.
ภายหลังเขาร่วมการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ปี 2563 ฟรานซิสกลับกลายเป็นจำเลยในคดีทางการเมืองด้วยข้อหา “มาตรา 110” ในคดีนี้เพียงคดีเดียวเท่านั้น และเขาไม่เคยถูกคุมขังในเรือนจำมาก่อน การเข้าเรือนจำในครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกของเขา
.
“ตอนที่ผมกับผู้ชุมนุมมาอยู่แถว ๆ แยกนางเลิ้งก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีการตั้งแถว พวกเราส่วนหนึ่งเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่เตรียมจะสลายก็เลยเข้ามายันกับเจ้าหน้าที่ ตัวผมเคยเป็นคนจัดการชุมนุมมาก่อนมันก็จะมีความรู้สึกว่าเราต้องปกป้องผู้ชุมนุม หรืออย่างน้อยก็ต้องช่วยชะลอการเข้ามาของตำรวจให้นานที่สุด
.
“ทีนี้แถวตำรวจก็บีบเข้ามา ผู้ชุมนุมอีกส่วนก็กรูกันเข้ามากลายเป็นว่าผมติดอยู่กึ่งกลางเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ ระหว่างนั้นผมก็หันไปเห็นขบวนเสด็จกำลังเข้ามา ผมก็แบบ แย่ละ เอาไงดี เลยบอกคนข้าง ๆ ที่ต่อมารู้ว่า เค้าถูกดำเนินคดีเดียวกับผมว่าพี่ขอผมออกก่อน ผมพยายามเอาตัวออกมาจากแนวที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมประจันกัน ผมมีโทรโข่งในมือเลยพยายามใช้โทรโข่งสื่อสารให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ ให้ขบวนผ่านไป ตอนนั้นนอกจากบอกให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบแล้ว ผมก็ไม่ได้ทำอะไรอีกนอกจากชูสามนิ้ว แล้วผมก็เห็นพี่เอกชัยคู่คดีอีกคนที่อยู่แถวนั้นยืนชูสามนิ้วเหมือนกัน” ตอนหนึ่งที่ iLaw เคยสัมภาษณ์บุญเกื้อหนุนไว้เมื่อปี 2564
.
.
“ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ จำเลยที่ 3 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 40 ปี ทำงานภาคประชาสังคมที่เรียกว่า ‘นักกิจกรรมด้านพัฒนาชุมชนและเยาวชน’
.
งานของตันเป็นงานเกี่ยวกับการพัฒนา ที่ต้องอาศัยทักษะความคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม งานที่ตันเคยมีส่วนร่วม เช่น โครงการ “พื้นที่นี้ดีจัง” ที่ทำงานร่วมกับกลุ่ม ‘ดินสอสี’ เพื่อเปลี่ยนแปลงชุมชนที่มีความเสี่ยงให้กลายเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เอื้อให้เยาวชนเป็นผู้ออกแบบชุมชนที่ต้องการด้วยตนเอง จัดการเอง และรู้สึกภาคภูมิใจในชุมชนของพวกเขาเอง
.
ปัจจุบันตันกำลังช่วยเหลือหลายชุมชนที่ไม่ได้ถูกจดทะเบียนโดยรัฐ เริ่มตั้งแต่การจัดตั้งกรรมการชุมชน รวมคนให้เข้ามาพูดคุยหาความต้องการของชุมชนตัวเองด้วยกัน โดยเริ่มจากเรื่อง ๆ ง่าย อย่างเรื่องสุขภาพและคุณภาพชีวิต เช่น การจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพ โดยพื้นที่ชุมชนที่ทำงานด้วยเป็นหลักอยู่ในเขตธนบุรี
.
ขณะเดียวกัน ตันกลับกลายเป็นจำเลยในคดีมาตรา 110 ซึ่งนับว่าเป็นคดีทางการเมืองเพียงคดีเดียวในชีวิตของเขา จนส่งผลพวงไปยังชีวิตเขาในหลาย ๆ ด้าน
.
ศูนย์ทนายฯ เคยมีโอกาสได้สัมภาษณ์ตันและเผยแพร่ครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 ที่พูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของเขา การถูกตีตราจนกลายเป็นบาดแผลในชีวิต ส่งผลกระทบไปถึงการงาน ชีวิตคู่ และสภาพจิตใจ หลังถูกปล่อยตัวจากเรือนจำจากการถูกขัง 13 วัน ทั้งยังถูกนำตัวไปแยกขังเดี่ยวที่เรือนจำบางขวางอีกด้วย
.
“สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือมันกำลังไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพและศักยภาพในตัวผม ไปกดทับความคิดสร้างสรรค์ที่เคยมี ถ้าสภาพจิตใจของผมปกติเชื่อว่าตัวเองคงทำอะไรให้กับสังคมได้กว่านี้มาก แต่สุดท้ายมันไม่เกิดและมันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยตลอดไป ถ้าหากผู้เห็นต่างทางการเมืองยังคงถูกดำเนินคดีวนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะกับผมหรือกับใครก็ตาม” ตัน สุรนาถกล่าวไว้ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ลิงก์
.....


ดูว่า ใครยกมือให้ใครบ้าง !! พรรคส้ม 143 เสียง พรรคอื่นๆ ที่โหวตให้อนุทิน 168 เสียง ส้มพรรคเดียว ล้มพรรครัฐบาลน้ำเงินไม่ได้


ถือแถน
@pran2844
ดูว่า ใครยกมือให้ใครบ้าง!!

https://x.com/pran2844/status/1963910346110124387
https://x.com/NuengGtr/status/1963850988579901916







 

เมื่อไหร่จะมีความยุติธรรม


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
4 hours ago
·
วันที่ 5 ก.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ และประชาชนอีก 2 คน ที่ถูกฟ้องในข้อหาหลักประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีและเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและอัยการโจทก์อุทธรณ์ต่อมา
.
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เห็นว่าการกระทำของทั้งห้าผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัยเพิ่มโทษตามคำขออัยการโจทก์ 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ
.
ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกัน เชื่อได้ว่าจำเลยทราบว่ามีขบวนเสด็จของพระราชินี มีเจตนาพยายามขัดขวาง
.
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยสรุปได้ว่า หลังศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและปรึกษาหารือแล้ว คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลย ดังนี้
.
1. จำเลยทราบหรือไม่ว่าขบวนที่ผ่านเป็นขบวนเสด็จ
.
จากพยานโจทก์หลายปาก เช่น ปาก พ.ต.ท.พิทักษ์ ลาดล่าย ผู้กล่าวหา เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงที่มีกจะมีการถวายพระราชกุศล ประชาชนทั่วไปอาจทราบจากการฟังข่าว วิทยุ และสื่อต่าง ๆ ได้ มีการประกาศผ่านทางพระราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่ได้ประกาศว่าจะเรื่องเส้นทางใด ปกติแล้วขบวนเสด็จใช้เวลาประมาณ 1 นาที แต่ในวันเกิดเหตุใช้เวลานานกว่านั้น แต่จำไม่ได้ว่าจะนานเท่าไร
.
พ.ต.ท.พิทักษ์ มีภารกิจหลักของพยานคือการถวายอารักขาและดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีหน้าที่สืบสวน ติดตาม เฝ้าระวังกลุ่มผู้ชุมนุม และยังได้เบิกความว่าในวันดังกล่าวประชาชนผู้รับเสด็จใส่เสื้อสีเหลือง ในขณะที่ผู้ชุมนุมสวมเสื้อหลากสี และก่อนเกิดเหตุผู้ชุมนุมอยู่ฝั่งทำเนียบรัฐบาล รวมถึงคำเบิกความพยานปากอื่น เชื่อได้ว่าจำเลยทั้งหมดทราบว่ามีขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินีผ่าน
.
2. ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่
.
ที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ทราบว่ามีขบวนเสด็จฯ และเคลื่อนไปตามประกาศของแกนนำและได้ยื่นคล้องแขนกับจำเลยอื่นและผู้ชุมนุมเนื่องจากคิดว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนจะผลักดันพื้นที่เพื่อสลายการชุมนุม แต่เมื่อเห็นว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ผู้ชุมนุมก็ได้ถอยร่นและตนก็ได้ตะโกนบอกให้ผู้ชุมนุมทราบว่ามีขบวนเสด็จฯ
.
ที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ในวันเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าการชุมนุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเจ้าหน้าที่สั่งให้เลิกการชุมนุม และไม่มีเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะมีขบวนเสด็จฯ ผ่าน แต่เมื่อจำเลยเห็นว่ามีขบวนรถผ่าน แต่ไม่ทราบว่าเป็นขบวนอะไร จึงได้ใช้โทรโข่งประกาศกับฝ่ายผู้ชุมนุม
.
ที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า เห็นตำรวจยืนคล้องแขนทำให้นึกว่าจะสลายการชุมนุมและเห็นว่ามีคนถูกเจ้าหน้าที่ผลักล้มจึงให้ผู้ชุมนุมนั่งลง เพื่อให้ตำรวจหยุดการกระทำดังกล่าว รวมถึงจำเลยไม่เห็นขบวนเสด็จด้านหลังตำรวจควบคุมฝูงชน
.
ที่จำเลยที่ 4 ต่อสู้ว่า ได้ไปที่เกิดเหตุเพื่อถ่ายภาพการชุมนุมเพื่อจะขายผลงานอิสระ โดยจำเลยเห็นรถยนต์สีแดงและเห็นผู้ชุมนุมยืนชูสามนิ้ว โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ เนื่องจากเห็นเพียงว่ามีตำรวจนั่งในรถดังกล่าว
.
ที่จำเลยที่ 5 ต่อสู้ว่า ได้ไปร่วมการชุมนุมเนื่องจากอยากลองไปสักครั้ง จำเลยไม่ทราบข้อเรียกร้องของการชุมนุม จำเลยได้ยินจากผู้ชุมนุมพูดต่อ ๆ กันว่าจะกระชับพื้นที่การชุมนุมและเห็นผู้ชุมนุมชูสามนิ้ว จึงไปร่วมชู สามนิ้วด้วย
.
ตามที่ได้วินิจฉัยไปข้างต้นว่าจำเลยทราบว่ามีขบวนเสด็จของพระราชินีผ่าน แม้จำเลยจะปฏิเสธ ข้อต่อสู้มีเนื้อหาทำนองเดียวกันกับบันทึกคำให้การ แต่จำเลยมาชุมนุมก่อนเกิดเหตุ ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนต้องมาปฏิบัติหน้าที่ตามเหตุการณ์
.
อีกทั้งศาลอุทธรณ์ได้เปิดคลิปหลักฐานแห่งคดีและเห็นว่าเหตุการณ์ตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนมีขบวนเสด็จเพียงเล็กน้อย ในคลิปปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เดินมาประกบจำเลยที่ 2 ที่ยืนประชันหน้ากับตำรวจ จำเลยที่ 2 ถือโทรโข่งและพูดประกาศหันไปทางตำรวจ
.
เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 มีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ อย่างชัดเจนยากที่จะปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ที่อ้างว่าให้ผู้ชุมนุมนั่งเพื่อลดความรุนแรง แต่กลายเป็นการทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากมากขึ้น จึงเห็นว่าจำเลยที่ 3 จึงมีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ
.
ส่วนจำเลยที่ 4 เมื่อจำเลยที่ 1 พูดว่าขบวนเสด็จฯ จำเลยที่ 4 ก็เดินเข้าไปและถ่ายภาพ แสดงว่าจำเลยที่ 4 ก็ร่วมขัดขวางขบวนเสด็จฯ ด้วย ข้อกล่าวอ้างของจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
.
พิพากษาว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 215 มาตรา 385 และกีดขวางทางจราจร โดยฐานกีดขวางทางจราจรให้ปรับทางพินัย
การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทที่หนักที่สุดตามมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 (เอกชัย) รวมตามคำขอของโจทก์ เพิ่ม 1 ใน 3 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 21 ปี 4 เดือน
.
ต่อมาเวลาประมาณ 17.30 น. ศาลอาญามีคำสั่งส่งคำร้องประกันตัวให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 วัน ทำให้วันนี้ทั้ง 5 คน ต้องถูกนำตัวไปคุมขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยอดผู้ต้องขังทางการเมืองจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 53 ราย
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่https://tlhr2014.com/archives/78139
.....

.....

https://www.facebook.com/watch/?v=1326518355798102
iLaw 
9 hours ago
·
18:35 น. ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยทั้ง 5 ในคดี #ม110 ไปฝากขังเพื่อรอคำสั่งประกันตัว ซึ่งคาดว่าจะรอผลคำสั่งประกันตัวจากศาลฎีกา 3 วัน


https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1193088959531388
iLaw 
10 hours ago
·
“กูโดนหมายเหรอ ชิบหายแล้วข้อหาอะไรเนี่ย 110 ไม่เคยได้ยิน รู้จักแต่ 112 และพอมารู้ว่าเป็นข้อหาประทุษร้ายพระราชินีก็แบบโอ้โห ยังกะผู้ก่อการร้ายทั้งๆที่จริงๆแล้ววันนั้นไม่มีอะไรเลย ตั้งกูแต่ละข้อหา 112 116 ไปถึง 110…ก็อย่างที่บอกเหมือนชะตาชีวิตมันลิขิตไว้แล้วว่าพี่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันคงไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมแล้ว” เอกชัย หงส์กังวาน จำเลยคดีประวัติศาสตร์ มาตรา 110 คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีขบวนเสด็จผ่านบริเวณทำเนียบรัฐบาลที่ผู้ชุมนุมคณะราษฎรกำลังเคลื่อนขบวนมาปักหลักเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563
:
5 กันยายน 2568 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พลิกจากเดิมยกฟ้องเป็นลงโทษจำคุกเอกชัยและพวกรวม 5 คน คนละ 16 ปี เอกชัยยังพ้นโทษจากคดีก่อนหน้ามาไม่ถึง 5 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 21 ปี 4 เดือน
เอกชัยเคลื่อนไหวทางการเมืองมานานกว่า 10 ปี และเขาถูกดำเนินคดีมาแล้วอย่างน้อย 30 คดี เคยถูกเอาตัวไปเข้ากระบวนการ 'ปรับทัศนคติ' 3 ครั้ง และถูกข่มขู่ ลอบทำร้าย เผารถยนต์ รวมแล้ว 9 ครั้ง และในตอนที่รู้ว่า ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 110 ที่โทษขั้นต่ำคือ 16 ปี สูงสุดคือ 20 ปีแต่เขาไม่เคยคิดหนี
:
"มีคนยุให้หนี กูไม่หนี การหนีมันไม่ใช่การแก้ปัญหา คนส่วนใหญ่คิดว่าก้าวพ้นประเทศไทยก็รอดแล้ว แต่ถามหน่อยไปต่างประเทศมึงจะอยู่ยังไง อยู่เมืองไทยอย่างน้อยพูดภาษาไทยได้ ยังมีคนรู้จัก ไปอยู่ที่โน่นต้องพูดภาษาต่างประเทศมึงพูดได้มั้ย มีเงินมีคอนเนคชันพร้อมมั้ย ไปถึงแล้วมีคนช่วยมั้ย พี่ว่าเอาเข้าจริงแล้วลำบากกว่าติดคุกอยู่ที่นี่อีก ดูอย่างพี่พอติดคุกออกมาก็เป็นอิสระไปไหนมาไหนทำอะไรก็ได้ แต่คนที่เลือกหนีหลายคนก็ไปลำบากอยู่แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะจบจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่"
หลังศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสร็จ เอกชัยต้องถูกคุมตัวมารอคำสั่งประกันเกือบ 6 ชั่วโมง เมื่อเจอหน้าครั้งแรกผ่านลูกกรงเขาถามทันทีว่า โหวตนายกฯ เสร็จหรือยัง พอได้คำตอบว่า กำลังจะโหวตเขาก็เงียบไป ตอนที่เราเดินไปบอกผลมติโหวตนายกฯ เขาถามรายละเอียดว่า ใครได้คะแนนเท่าไหร่บ้าง จากนั้นเขาถามคำสั่งประกันด้วยหวังว่า ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งที่ 7 ที่ต้องเดินเข้าเรือนจำ อย่างไรก็ตามวันนี้เขาต้องเข้าเรือนจำระหว่างรอศาลฎีกาสั่งคำร้องขอประกันในชั้นฎีกา คาดว่า ประมาณ 3 วันจึงจะทราบผล
:
ชวนรู้จักเอกชัย หงส์กังวานผ่านบทความ "จาก 112 – 110 ชีวิตติดเลขท้ายของเอกชัย หงส์กังวาน" : https://www.ilaw.or.th/articles/9746



https://www.facebook.com/sripenchan/posts/25249142158021529
สิริวรรณ ศรีเพ็ญจันทร์ 
8 hours ago
·
#saveตันสุรนาถ
พี่ตัน คนที่คนรุ่นใหม่ยอมรับ นับถือ ให้ความเคารพ และอยากร่วมงานด้วย
ทำงานขับเคลื่อนชุมชนในเมืองมานานตั้งแต่รุ่นพ่อของเขา จนวันนี้ภารกิจนี้ มาอยู่ในมือพี่ตันอย่างเหมาะสมตามกาลเวลา
.
#บางกอกฮับดีจัง พื้นที่แห่งชีวิตที่พี่ตัน ฝังเมล็ดพันธุ์การสร้างชุมชนยกกำลังดีให้ชุมชนไม่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ จำไม่ได้ว่ากี่ชุมชน แต่เราเห็นการทำงานของทีมนี้ ที่มีพี่ตันเป็นขุนพล ชวนน้อง ๆ บุกทะลวงฟันฝ่าความยาก ไปเติมความรัก ความรู้ ให้กับพี่น้องทุกคนในชุมชนที่เข้าร่วม
.
ไม่ง่ายนัก ที่จะมีคนแบบพี่ตัน ในสังคมการทำงานพัฒนา #ถ้าหัวใจไม่ใหญ่พอ
พี่ตันเชื่อมร้อยหัวจิตหัวใจ เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่ม เด็กสาวได้ทดลองชีวิต ได้ลองทำสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ให้มีคุณค่า ให้คนที่ไม่มีที่ไป ได้มีทิศทางชีวิตที่ชัดเจนขึ้น
.
งานหนักไม่เคยฆ่าคน พี่ตันพร้อมหนุนช่วย เป็นลมใต้ปีกให้หลาย ๆ งาน มีพลังและเกิดแสงส่องให้สังคมมองเห็น ดูให้ชัด มองให้ลึก #งานขอบป่าเฟสติวัล ก็เป็นผลงานที่ต้องก้มหัวให้กับผู้ชายคนนี้
.
ยิ่งเขียนยิ่งพรั่งพรู งานล่าสุด เราก็ทาบทามพี่ตันให้มาช่วยเป็นฝ่ายหนุนนำพื้นที่ ไม่มีคำเกี่ยงงอน มีแต่น้อมรับที่จะมา แต่งานนี้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด คนแบบพี่ตันนี้ คุณค่าของเขามีความหมายกับทุกพื้นที่ มีพลังกับทุกคนที่เข้าใกล้
.
แต่ฟ้าไม่เป็นใจ ขวากหนามแห่งชีวิตยังไม่ผ่านพ้น เหมือนขี้มูกเกรอะกรังไม่ยอมหลุดออกจากรู ทำให้ลมหายใจผ่านเข้าออกยากเย็นยิ่งยวด
.
ช็อคเมื่อเห็นข่าว เราได้แต่ภาวนา ส่งพลังบุญที่ทำและมีให้พี่ตันผ่านพ้นแบบไม่มีเงื่อนไข กลับคืนมาจะขอไปกอดให้หนำใจ
#รอฟังข่าวด้วยใจเต้นไม่ปกติ
#saveตันสุรนาถ


การอภิปรายของณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในวาระการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เพื่อนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พร้อมกับการเปิดประตูรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

https://www.facebook.com/watch/?v=1279158993688794
Pipob Udomittipong
11 hours ago
·
พูดได้ดีมากครับ มิตรท่านหนึ่งบอกว่า "ไม่ก้าวร้าวเหมือนธนาธร ศัพท์แสงไม่มากเหมือนพิทา ไม่อ่อนปวกเปียกเหมือนชัยธวัช"
“วันนี้เราไม่ได้เลือกคุณอนุทินมาบริหารประเทศ เราลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูลมายุบสภา!”
“ผมทราบดีครับ 14 ล้านคนที่เลือกพรรคก้าวไกลมา ไม่ใช่สมาชิกพรรคประชาชนทั้งหมด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการโหวต หรือตัดสินใจเลือกนายอนุทินเ ชาญวีรกูลเป็นนายกฯ ในวันนี้ ผมเชื่อครับ 14 ล้านคนที่กาก้าวไกลในวันนั้น ไม่มีใครเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี
ผมเชื่อครับ 14 ล้านคนในวันนั้น ไม่มีใครเลือกเพราะอยากเห็นรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ผมเชื่อครับ 14 ล้านคนในวันนั้น ไม่มีใครหวังอยากเห็นอำนาจนอกระบบ เข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย และผมเชื่อเช่นเดียวกันครับว่า 14 ล้านคนในวันนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนเห็นด้วยทั้งหมดกับการตัดสินใจของพรรคในวันนี้
“การตัดสินใจในวันนี้ เพื่อให้ชัดเจน เราตัดสินใจเพราะเราตัดสินใจเพื่อคนคน 60 กว่าล้านคน ในการผ่าทางตันให้ประเทศ เดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือหลักประชาชนใหญ่กว่าพรรค ตัดสินใจเพื่อประเทศ ไม่ใช่ตัดสินใจเพื่อคะแนนความนิยมของประชาชน”
.....


"ณัฐพงษ์" ย้ำอีกรอบ เลือก "อนุทิน" มายุบสภา | 5 ก.ย. 68

Thai PBS

Sep 5, 2025 

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นอภิปรายโดยย้ำว่า "วันนี้พรรคประชาชน ไม่ได้เลือกคุณอนุทินมาบริหารประเทศ เราเลือกมาคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกันและเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ"

https://www.youtube.com/watch?v=IQ6-qkoPOF4


มีข่าวพูดถึง คำพูดสุดท้ายของนายใหญ่ก่อนบิน "ยอมรับถูกหลอกมาฆ่า ไม่อยากเล่นการเมืองแล้ว"


Somsak Jeamteerasakul
16 hours ago
·
คำพูดปริศนา จะใช่คำของแม้วหรือเปล่า ไม่แน่ใจ (ฟังดูแล้วคล้ายๆกับใช่)
ข้อสังเกตคือยังคงเอกลักษณ์ของแม้วไว้ ไม่เสื่อมคลาย
คือไม่มีตรงไหนเป็นความผิดของกรูเลย
ล้วนแต่เป็นความผิดคนอื่นทั้งสิ้น

https://www.facebook.com/photo?fbid=24286353874324563&set=a.137616112958343


https://www.facebook.com/watch/?v=793722729855830

Ch7HD News
12 hours ago
·
คำพูดสุดท้ายของนายใหญ่ก่อนบิน "ยอมรับถูกหลอกมาฆ่า ไม่อยากเล่นการเมืองแล้ว" ...สภาวุ่น ! ประท้วงโหวตนายกฯ ทักษิณบินดูไบ เอ๊ะ ยังไง ? #ยิ่งคุยยิ่งลึก



กรณี #ทักษิณ ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปดูไบ ก่อนวัน #ประชุมสภา โหวตเลือก #นายกรัฐมนตรีคนที่32 ในมุม นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ มองเหมือนแม่ทัพหนีทัพ จริง ๆ แพ้ชนะยังไงควรจะอยู่เพื่อพรรค





 https://x.com/ThaiPBS/status/1963909661478023320
.....



Thanapol Eawsakul
11 hours ago
·
ผมสั่งครอบครัวแล้ว.
ตายไม่เผา ให้เก็บร่างไว้
ไม่ให้เผา. นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ
ให้การต่อสู้ของผม. ให้ชีวิตผม
มันเป็นอมตะของครอบครัว
ทักษิณ. ชินวัตร
จากหนังสือ
Thaksin Shinawatra Theory and thought Book - Thaksin Official


https://www.facebook.com/photo?fbid=24727100296930143&set=a.640340859366090




ใครคือคนกำหนดเกมส์เลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อผู้นำอำนาจนิยมเผชิญภัยคุกคาม และข้อชวนคิด


Siripan Nogsuan Sawasdee 
September 2
·
ใครคือคนกำหนดเกมส์เลือกนายกรัฐมนตรี
วันนี้แลกเปลี่ยนกับนิสิต จากการอ่านงาน Gandhi, J., & Przeworski, A. (2007). Authoritarian Institutions and the Survival of Autocrats.
หัวใจของงาน ชี้ว่า เมื่อผู้นำอำนาจนิยมเผชิญภัยคุกคาม สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อให้อยู่ได้ยาวนานคือ
1.ออกแบบสถาบันทางการเมืองเพื่อรองรับ ค้ำจุนอำนาจ
2.ควบรวมดึงคนเข้ามาเป็นพวก (cooptation) โดยใช้เครื่องมือทางกฎหมายทั้งเพื่อการลงโทษ หรืองดการลงโทษ
และให้รางวัล ตำแหน่ง สถานะ ทรัพย์สิน ตลอดจากการเปิดให้นโยบายบางอย่างเกิดขึ้นได้
ประเด็นที่อยากชวนคิด คือ
1.การตัดสินใจว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องพิจารณาให้ลึกว่า ณ ขณะนี้ ใครคือคนที่ยึดกุม กำกับองคาพยพและสถาบันทางการเมือง ที่จะกำหนดทิศทางของประเทศได้ตามประสงค์ ทั้งสภาบน สภาล่าง และ องค์กรอิสระ
คิดให้ดีว่าใครกันแน่ คือผู้ที่วางแผนเดินหมากบนกระดานนี้ และความขัดแย้งชายแดนทำหน้าที่อย่างไร
การตัดสินใจเลือกคนใหม่ อาจหมายถึงการรื้อฟื้นคืนชีพระบอบเก่าที่องค์กรและสถาบันทางการเมือง ถูกควบคุมอยู่ภายใต้ศูนย์อำนาจเดียวเช่นเดิม
2.ความกลัวคนเก่าที่แว่วว่าอาจกลับมาเป็นอัศวิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังในการกำหนดการตัดสินใจเหมือนเดิมแล้ว ทำให้ตัดสินใจเลือกคนใหม่ ที่มีวาระเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องชัดแจ้งเหมือนเขียนไว้ข้างฝา เป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี
3. การอพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่ คือ สัญญาณบ่งชี้ว่า ศูนย์กลางใหม่ของการใช้สถาบันทางการเมืองเพื่อค้ำจุนอำนาจ และดึงเข้ามาเป็นพวกอยู่ที่ใด
4. พึงระวังว่า เงื่อนไข 4 เดือนของการยุบสภาไม่มีอยู่จริง กว่าจะแถลงนโยบาย อย่างน้อยก็บวกไปอีก 1 เดือน เมื่อประกาศยุบสภา รัฐธรรมนูญกำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 ถึง 60 วัน ให้ กกต. มีเวลาประกาศผลอีก 60 วัน และเราต้องเผชิญกับการต่อรองและความไม่แน่นอนว่าใครจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
ระหว่างนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี อยู่ในอำนาจยาว ๆ ไป รวมแล้วอาจถึง 10 เดือน หรือกว่านั้นก็เป็นได้
5. หากมุ่งเป้าเพื่อจะแก้รัฐธรรมนูญ สิ่งที่ต้องคิดให้ทะลุคือ วุฒิสภา ซึ่งใช้อำนาจเหยียบเบรก (veto power) มาตลอด จะยอมผ่อนปรนให้จริงหรือ
อาจเป็นไปได้ เพราะถึงเวลานั้น พวกเขาก็ได้เข้ายึดกุม (capture) องค์กรทางการเมืองที่เป็นยุทธศาสตร์ไว้หมดแล้ว
และจะควบคุมทิศทางต่อไปได้อีก 7 ปี ตามวาระ
6. คำถามประชามติที่อาจเลี่ยง 1/3 หรือ 67 เสียงของ สว. คือ
1. “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จัดทำโดย สสร.?”
2. “หากเห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระหว่างระยะเวลาของการจัดทำ ท่านเห็นชอบให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้บังคับเป็นการชั่วคราวหรือไม่”
คำถามนี้ ไม่ใช่การเสนอแก้ รธน. 2560 ที่ต้องใช้เสียง สว. และ ถ้าประชามติผ่าน รธน. 2560 จะถูกล้มโดยปริยายด้วยอำนาจสถาปนา รธน. ใหม่ของประชาชน
7. ที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดคือ ปล่อยอิสระให้ต่างคนต่างโหวต เพราะนั่นหมายถึงการดึงเข้ามาเป็นพวกโดยพลังดูดจะทำงานได้ง่าย
ดังที่แสดงในโพสก่อนหน้านี้ว่า จำนวนที่ต้องการเพิ่ม อาจไม่ถึง 50 เสียง
ดังนั้น ต้องมีมติพรรคให้ชัดเจน
8. ถ้าเอาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง กรุณาตัดอคติและการเอาชนะคะคาน
เวลานี้ คือเวลาที่จำเป็นที่สุดที่ต้องหันมาเจรจา และหาทางออกร่วมกัน เงื่อนไขที่สร้างไว้ ใช่จะปรับเปลี่ยนไม่ได้ หากทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ จะยิ่งน่านับถือ เช่น จัด ครม. ร่วมกัน (ป.ล. edit เพิ่ม)
เป้าหมายคือ เพื่อประคองประเทศไม่ให้กลับไปตกอยู่ในสภาวะเดิม ที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ภายใต้ผู้ผูกขาดองค์กรและสถาบันทางการเมือง จากการควบรวมผู้คนมาเป็นพวก

https://www.facebook.com/siripan.nogsuansawasdee/posts/31680677348190182