วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 05, 2568

กระแสคลั่งชาติ-ชาตินิยมเกลียดเคลมโบเดีย ที่ฮือโหมอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่กระแสคนชั้นกลางอุดมการณ์ราชาชาตินิยมแบบพันธมิตรนกหวีด แต่เป็นแบบ Trumpian เสียมากกว่า เป็นคลั่งชาติ หวงแหนผลประโยชน์กรู เห็นคนต่างชาติเป็นศัตรูมาแย่งผลประโยชน์


Atukkit Sawangsuk
3 hours ago
·
(ได้ข้อคิดจากมิตรสหาย)
:
กระแสคลั่งชาติ-ชาตินิยมเกลียดเคลมโบเดีย ที่ฮือโหมอยู่ตอนนี้
มันไม่ใช่กระแสคนชั้นกลางอุดมการณ์ราชาชาตินิยมแบบพันธมิตรนกหวีด
ไม่ใช่กระแสคนดีย์ เกลียดการเมืองเลว เทิดทูนคนบนฟ้า
แต่มันออกไปทางขวาประชานิยมแบบคนอเมริกันเลือกทรัมป์ เสียมากกว่า
เป็นคลั่งชาติ ชาตินิยม แบบหวงแหนผลประโยชน์กรู เห็นคนต่างชาติเป็นศัตรูมาแย่งผลประโยชน์
เกลียดแรงงานข้ามชาติ (แย่งงานทำ? ทั้งที่เป็นงานที่ตัวเองไม่ทำ) เกลียดพม่า มาแย่งใช้บริการสาธารณสุข (เกลียดพรรคประชาชนพม่าเพราะเชื่อว่าจะให้คนพม่าได้สิทธิเลือกตั้ง)
เกลียดเคลมโบเดีย เพราะแย่งมรดกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ดินแดน จะเอาปราสาทตาเมือนธมไปอีก
หวงแหนความเป็นไทย จนกล้าเอาข้อมูลในกลุ่มไลน์ไปเถียงนักโบราณคดี ด่าสุจิตต์ วงษ์เทศ
อาจรวมทั้งเกลียดอิสลาม
เกลียดจีนด้วย แต่ไม่ค่อยกล้าหือกับคนที่เหนือกว่า ระบายเอากับคนด้อยกว่า แบบพม่าเขมรลาว
:
กระแสคลั่งชาติแบบนี้เผยแพร่กว้างขวางอย่างรวดเร็ว เพราะมันไม่เคยโผล่มาถกเถียงทางปัญญาในที่สาธารณะ
เอาความคิดที่ถูกปลูกฝังมาตื้น แบบไทยเสียดินแดนมาแล้ว 7 ครั้ง ฯลฯ ส่งต่อในกลุ่มไลน์ ในยูทูบเบอร์ ติ๊กต๊อกเกอร์
กระแสแบบนี้มันต้องการผู้นำสุดโต่ง แบบทรัมป์นั่นแหละ บ้าคลั่งไม่มีทิศทาง จริงๆ ก็มาจากความไม่พอใจปัญหาเศรษฐกิจสังคม ความเหลื่อมล้ำ แต่ระบายออกไปทางขวา เพราะการสื่อสารในโลกออนไลน์ปลุกเกลียดชังสั้นๆ ง่ายๆ ได้ผลกว่าการถกเหตุผล
:
กระแสแบบนี้นำไปสู่รัฐประหารไหม
ถ้าทหารโง่พอก็ทำได้นะ กระแสแบบนี้ต้องการผู้นำเด็ดขาด
แต่มันจะไม่มีทางควบคุมได้ เพราะเป็นกระแสไร้ทิศทาง เอาความพอใจเข้าว่า ปลุกความไม่พอใจได้ง่าย
มันไม่ได้มีรากฐานแบบอนุรักษนิยมศีลธรรมคนดีย์ค้ำอำนาจรัฐประหาร
นี่ยังไม่ได้พูดถึงอาการจ่อเป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งไม่สามารถแก้ด้วยอำนาจเผด็จการ จะพังยิ่งกว่ายุคประยุทธ์

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/10018666454881760



ชวนมารู้จัก ‘ช่องบก’ สามเหลี่ยมมรกต พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา


รู้จัก ‘ช่องบก’ สามเหลี่ยมมรกต พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา | NEWS DIGEST #182

The Standard

May 30, 2025

จากอดีตสมรภูมิรบไทย-เวียดนาม สู่พื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน News Digest วันนี้พาไปทำความรู้จัก "ช่องบก" สามเหลี่ยมมรกต ที่เชื่อม 3 ประเทศ ไทย กัมพูชา ลาว สำคัญอย่างไร และที่ผ่านมาไทยมีกลไกอะไรในการแก้ปัญหาข้อพิพาทนี้บ้าง

https://www.youtube.com/watch?v=V6alqXvRXBE



มองความขัดแย้งชาวเน็ตไทย-กัมพูชา บทสรุปจากเสวนา โจรสยาม vs เคลมโบเดีย ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ - กัมพูชากลายเป็นประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบ แซงหน้าเมียนมาในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา



มองความขัดแย้งชาวเน็ตไทย-กัมพูชา บทสรุปจากเสวนา โจรสยาม vs เคลมโบเดีย ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ

May 6, 2025
The Momentum

Claimbodia
Thiefland

คือคำที่เป็นภาพแทนในดราม่าระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาอย่างเป็นที่รู้กัน จน Urban Dictionary เว็บไซต์พจนานุกรมศัพท์สแลง ถึงกับบัญญัติศัพท์ 2 คำอย่างเป็นทางการ เพื่ออธิบายประเด็นความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และลุกลามทุกประเด็นตั้งแต่อาหาร บุคคลสำคัญ สู่ประเด็นใหญ่โตอย่างวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์สำคัญของชาติ

จากกระแสความเกลียดชังระหว่าง 2 เพื่อนบ้านในอาเซียน สู่บทสนทนาเพื่อย้อนกลับมาทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปและต้นตอของข้อพิพาท โดยเฉพาะแนวคิดหรืออุดมการณ์ใดที่แฝงอยู่เบื้องหลังของคำศัพท์สาดโคลนเหล่านี้ โดยเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดพื้นที่เสวนาทางวิชาการในหัวข้อ ‘โจรสยาม VS เคลมโบเดีย: ปัญหาทะเลาะกันที่ไม่มีวันรู้จบ’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายในรายวิชา อศ. 454 สัมมนาหัวข้อเฉพาะด้านสังคมและวัฒนธรรม สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา

เพื่อมองปัญหาและต่อยอดวิธีการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ The Momentum จึงสรุปประเด็นสนทนาจากวงวิชาการครั้งนี้ นำปฐกถาโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียนและผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ผู้เสวนาประกอบด้วย ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ธิบดี บัวคำศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยิ่งยศ บุญจันทร์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมี สฏฐภูมิ บุญมา อาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา

ไทยกับเขมร ความเป็นมา ‘คนละคนเดียวกัน’

สุจิตต์เริ่มการปาฐกถาในหัวข้อ ไทยกับเขมร ‘ทับซ้อน’ ความเป็นมา ‘คนละคนเดียวกัน’ โดยย้ำว่า การพูดในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบทบาทนักวิชาการ เป็นเพียงเสรีชนคนหนึ่งที่ทำหนังสือพิมพ์มาตลอด ขณะที่ข้อมูลในการพูดทั้งหมดรวบรวมมาจากข้อสรุปทางวิชาการที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งสรุปแบ่งเป็นประเด็นได้ต่อไปนี้

1. ประวัติศาสตร์ไทยกับเขมรคือ ประวัติศาสตร์ตามอำเภอใจ ใครนึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียน หรืออยากจะด่าอะไรก็ด่า โดยไม่แยแสหลักฐานทางวิชาการและโบราณคดี หนักข้อกว่านั้น คือ การสร้างหลักฐานขึ้นมาเองตามที่อยากจะให้เป็น โดยยกตัวอย่างถึงพิธีปฐมกรรมพระยาละแวก ที่มักมีการอ้างว่าสมเด็จพระนเรศวรกษัตริย์แห่งอยุธยา ประหารชีวิตพระยาละแวก กษัตริย์กรุงกัมพูชาด้วยพิธีปฐมกรรม หรือการนำเลือดศัตรูล้างเท้า ทั้งที่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ตอนพระนเรศวรตีเมืองละแวก พระองค์ไม่ได้ฆ่าพระยาละแวกซึ่งหนีไปอยู่ที่เมืองเชียงแตงหรือสตรึงแตงในภาษาเขมรแล้ว

อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ความหมายของ ‘ขอมแปรพักตร์’ ที่แต่งเติมในสมัยหลัง ถือเป็นประวัติศาสตร์จับยัดเข้ามาเพื่อแสดงความรักชาติ เพราะในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและถูกต้องที่สุด ไม่มีเหตุการณ์ขอมแปรพักตร์ ขณะที่พระราช พงศาวดารอยุธยา ประโยคดังกล่าวหมายถึงการที่เขมรแข็งข้อ ไม่อ่อนน้อมต่ออยุธยาและพระเจ้าอู่ทอง อีกทั้งในพงศาวดารเขมร ขอมแปรพักตร์หมายถึงความขัดแย้งภายในเขมรระหว่างกลุ่มที่อาศัยในโตนเลสาปกับตอนใต้

2. ข้อเท็จจริงพบว่า ข้อมูลประวัติศาสตร์ระหว่างไทยกับเขมร ทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมีมากมายทั้งไทย เขมร อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่ผู้คนไม่อ่าน เพราะอยากให้ข้อมูลเป็นตามใจตนเอง โดยยกตัวอย่างถึงกรณีข้อพิพาทปราสาทเขาวิหารในปี 2505 ซึ่งพบว่า เครือข่ายวิทยุภายในกรุงเทพฯ มีการด่าทอกัมพูชาเพื่อสร้างกระแสชาตินิยม เช่น คำว่า ‘ลิ้นสองแฉกเหมือนเหี้ย’

“ข้อมูลระหว่างไทยกับเขมรเปิดเผยทั่วโลก ไม่ได้ปิดลับ ไม่เหมือนราชการไทยปิดลับ (…) ปัญหาคือชนชั้นนำผู้มีอำนาจไม่อ่านหนังสือ ประเทศไทยมีปัญหาแบบนี้ เลยคลั่งชาติเพื่อปกปิดกลีบเดิมแท้ของตน

“ไทยมีพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร แต่ในความเป็นจริงปิดกั้น รัฐบาลกล่อมเกลาและครอบงำด้วยประวัติศาสตร์แห่งชาติฉบับคลั่งเชื้อชาติไทย และปกปิดข้อมูลที่เป็นจริง ผู้มีอำนาจต้องอ่านหนังสือ ถ้าไม่อ่านหนังสือก็ไม่เข้าใจ และเอาอคติของตนเองไปบังคับบัญชา”

3. ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างผูกพันด้วยประวัติศาสตร์เครือญาติ กล่าวคือ ทั้งภูมิภาคใช้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของอำนาจผ่านการแต่งงาน ถือเป็นต้นทางระบบอุปถัมภ์ หรือเป็นที่รู้จักในคำว่า ‘บ้านพี่เมืองน้อง’ แต่ถูกแทนที่โดยประวัติศาสตร์ความบาดหมาง โดยหนทางแก้ไขที่ดีคือ การหันกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์เครือญาติจากหลักฐานที่พบแทน

4. วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมร่วม ไม่ใช่ของชาติใดชาติหนึ่ง โดยต้นกำเนิดมาจากอินเดีย และผสมผสานกับลักษณะเฉพาะในท้องถิ่น เช่นในอดีตไทยใช้อักษรเขมร แต่เขียนเป็นภาษาไทยหรือที่เรียกว่า ‘ขอมไทย’

5. ปัญหาและประวัติศาสตร์บาดหมางที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากจากแนวคิดเรื่องรัฐชาติ ซึ่งมาจากเจ้าอาณานิคม และพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีแนวคิดนี้แต่เดิม (สามารถอ่านประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมได้ในหนังสือกำเนิดสยามจากแผนที่ (Siam Mapped) โดย ธงชัย วินิจจะกูล)

6. สำหรับหนทางในการแก้ไขปัญหา สุจิตต์มองว่า ไทยต้องลดบทบาทประวัติศาสตร์กระแสหลัก และแก้ไขในแนวทางของตนเอง โดยที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ไทยเต็มไปด้วยแนวคิด ‘ปลดแอก’ ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบยุโรปที่มักพูดถึงแต่การยึดเมืองขึ้น ทั้งที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบริบทต่างจากยุโรป เพราะให้ความสำคัญกับ ‘จำนวนไพร่พล’ มากกว่าขนาดของพื้นที่ที่ยึดครอง

“การสร้างประวัติศาสตร์ไทยใหม่หมายถึงการค้นคว้า เรียบเรียงตามหลักฐานทางวิชาการประวัติศาสตร์-โบราณคดี ด้วยแนวทางประวัติศาสตร์เครือญาติ ศาสนา การเมือง การค้า การผสมผสานทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม

“ผมไม่คิดว่า ความขัดแย้งนี้จะเลิกได้ทั้งหมด เพียงแต่ (ขั้นตอนนี้) จะช่วยลดเงื่อนไขที่นำไปสู่ความบาดหมาง ผมคิดว่าสันติภาพไม่ใช่แค่ไทย-เขมร แต่รวมไปถึงมลายู ปัตตานี ภูมิภาคอุษาคเนย์ และทั้งโลกด้วย” สุจิตต์ทิ้งท้าย

วาทกรรม ‘ขายชาติ’ เครื่องมือทางการเมืองของรัฐทหาร

ขณะที่ธำรงศักดิ์อภิปรายว่า จากประสบการณ์การสอนหนังสือ 25 ปีพบว่า กัมพูชากลายเป็นประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบ ซึ่งแซงหน้าเมียนมาในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จึงต้องมองลึกลงไปว่า สาเหตุที่คนไทยไม่พอใจกัมพูชา เป็นเพราะถูกปลูกฝังให้เกลียดชังประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านกระบวนการสร้างสำนึกความเป็นไทย โดยมีผู้มีอำนาจเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์

ธำรงศักดิ์ย้อนอธิบายว่า อันที่จริงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีแนวคิดเรื่องแผนที่หรือเขตแดน แต่สิ่งนี้มากับรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งมีจุดตั้งต้นจากการที่อังกฤษรบชนะพม่าในปี 2368 นำมาสู่การปักปันเขตแดนที่ไม่มีแต่เดิม จนสร้างสำนึกร่วมกันว่า เขตแดนมีความสำคัญอย่างไร สะท้อนจากการจัดทำแผนที่ในสมัยรัชกาลที่ 5

เมื่อมีการได้มาซึ่งเขตแดนแล้ว การนิยามว่าใครเป็นใครจึงตามมา ชัดเจนที่สุดคือ ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กระแสความคิดชาตินิยมเริ่มเข้ามา มีความพยายามสร้างความเป็นไทย เช่น การใช้คำว่าภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคอีสาน แทนกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ

แต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดกระแสคลั่งชาติที่ถูกปลุกปั่นมาถึงปัจจุบันคือ การที่ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ผู้นำขณะนั้น สั่งให้มีการทำ ‘แผนที่เสียดินแดน’ ซึ่งเริ่มแรกมีเพียง 8 ครั้ง ก่อนที่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 14 ครั้ง นับเป็นสารตั้งต้นไปสู่วาทกรรม ‘ขายชาติ’ ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีการเมืองภายในประเทศ เช่น กรณีโจมตีรัฐบาลเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร จากกรณีปราสาทเขาวิหารในปี 2551 หรือการที่อดีตผู้บัญชาการทหารบกคนหนึ่งหยิบยกวาทกรรมเสียดินแดน 14 ครั้ง มาพูดในการบรรยาย

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์​ มหาวิทยาลัยรังสิตมองว่า วิธีการแก้ไขข้อพิพาทไทย-กัมพูชา คือการทำความเข้าใจกับวาทกรรมเสียดินแดน หรือสิ่งที่บังคับใช้ผู้คนต้องสนับสนุนระบอบทางการเมืองเพื่อความเป็นสุขบนแผ่นดินด้วยการเชื่อฟังผู้นำ แม้ว่าจริงๆ แล้ววาทกรรมดังกล่าวจะทำให้รัฐทหารเติบโตก็ตาม ขณะที่ประเทศไทยก็ต้องโอบรับความหลากหลาย เพื่อลดกระแสความเกลียดชังลง

‘เขมรเนรคุณ’ ไม่ต่างจาก ‘เคลมโบเดีย’

ด้านธิบดีนำเสนอบทสนทนาในมุมที่แตกต่าง คือการวิพากษ์คำว่า ‘เขมรเนรคุณ’ ซึ่งเหมือนกับคำว่า ‘เคลมโบเดีย’ ในปัจจุบัน โดยย้อนเล่าว่า คำหรืออารมณ์ร่วมดังกล่าว ปรากฏขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังกัมพูชายื่นฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ปมปราสาทเขาพระวิหารในปี 2502 โดย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยแต่งกลอนเสียดสีกัมพูชาที่มีใจความว่า เมื่อก่อนไทยเคยช่วยเขมรมากมาย แต่เขมรกลับเนรคุณ จองหอง ไม่สำนึกบุญคุณไทย

ในปีเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศไทยยังเขียนหนังสือออกมาเสียดสีในทำนองเดียวกันว่า ไทยมีส่วนช่วยกัมพูชาในการเรียกร้องเอกราช และพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรง ‘สำนึกบุญคุณ’ แต่หลังจากนั้นไม่นาน กัมพูชาเริ่มทวงสิทธิดินแดน ซึ่งหากสรุปในมุมมองของตนแล้ว ถ้อยแถลงของกระทรวงต่างประเทศจึงอาจเป็นการตอกย้ำว่า กษัตริย์แห่งกัมพูชาทรงไม่สำนึกคุณที่ไทยเคยช่วยไว้ก็ได้

สำหรับประเด็นเขมรแปรพักตร์ ธิบดีมองต่างจากสุจิตต์บางแง่มุม ผ่านการวิเคราะห์ว่า คำดังกล่าวถูกเข้าใจกันเป็นวงกว้างเทียบเท่ากับประโยคเขมรเนรคุณ ซึ่งปรากฏในแบบเรียนตั้งแต่ไทยมีแผนการศึกษา โดยที่บทบาทของกัมพูชามักถูกอธิบายว่าเป็นประเทศราชที่มักฉวยโอกาสแปรพักตร์ในยามที่ไทยอ่อนแอเสมอ

โดยสรุปธิบดีมองว่า ไม่ว่าจะคำว่า ‘เขมรเนรคุณ’ หรือ ‘เคลมโบเดีย’ ต่างก็มีจุดร่วมกัน คือ กัมพูชาเนรคุณไทย กล่าวคือ ไทยมีสถานะต่อกัมพูชาในฐานะ ‘ผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวง’ แต่กัมพูชากลับเป็นพวกไม่สำนึกบุญคุณที่ไทยเคยให้ความช่วยเหลือ

“เวลาเราบอกว่า กัมพูชาเคลมหรือก๊อบปี้ของไทย แต่เป็นการก๊อบปี้ไทยที่มีบุญคุณอันใหญ่หลวง จึงกลายเป็นเนรคุณ เคลมโบเดียจึงกลายเป็นว่าเขมรเนรคุณ”

อาจารย์จากภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาฯ ทิ้งท้ายว่า วิธีการแก้ไขปัญหาอาจไม่ใช่การมองแค่ผ่านกรอบประวัติศาสตร์เครือญาติ ซึ่งก็เต็มไปด้วยการทะเลาะและความขัดแย้ง แต่ต้องพูดถึง ‘ประวัติศาสตร์บาดแผล’ ให้มากขึ้น อย่ากลบฝังอดีต โดยต้องทบทวนและทำความเข้าใจประวัติศาสตร์กันใหม่ แต่ไม่ใช่เพื่อตอบคำถามหรือทำให้ความขัดแย้งลดลง แต่เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ หรือทบทวนให้ตนเองเติบโตมากขึ้นกว่านี้
 
ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง: มองสำนึกกัมพูชาต่อไทยในฐานะ ‘ภัยคุกคาม’

ปิดท้ายบทสนทนาด้วยยิ่งยศที่อธิบายความสัมพันธ์บาดหมางของ 2 ประเทศจากมุมมองของกัมพูชา ในลักษณะ ‘ผู้ร้าย’ หรือ ‘ศัตรู’ จากชนวนทั้งการเมืองภายในและระหว่างประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคอาณานิคม และทวีคูณในสงครามเย็น โดยเฉพาะในยุคสังคมราษฎรนิยม ที่มีสีหนุเป็นผู้นำพรรคสังคมราษฎรนิยมตั้งแต่ปี 2498-2513

เริ่มแรกไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาที่ยังไม่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี 2493 ซึ่งอยู่ในบทบาทรัฐปกครองตนเอง แม้จะมีความพยายามปรองดอง แต่บริบทของสงครามเย็นทำให้ 2 ประเทศต่างบาดหมางกัน เพราะไทยอยู่ในกลุ่มโลกเสรีและสนับสนุนสหรัฐอเมริกา ขณะที่กัมพูชาภายใต้สีหนุวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และดำเนินนโยบายรับความช่วยเหลือทุกฝ่าย จนทำให้ทางการไทยเคลือบแคลงต่อนโยบายดังกล่าว นำไปสู่จุดแตกร้าวในช่วงปี 2499 และ 2501 หลังสีหนุเยือนจีน ซึ่งเท่ากับว่า กัมพูชากำลังเปิดโอกาสให้จีนคอมมิวนิสต์แพร่ขยายอิทธิพลเหนือกลุ่มประเทศอินโดจีน

ฝ่ายไทยจึงดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่หักหน้ารัฐบาลกัมพูชาภายใต้สีหนุหลายอย่าง เช่น สนับสนุนกลุ่มเขมรเสรี ฝ่ายต่อต้านสีหนุที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ เพื่อสกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสม์ โดยหลักฐานของ CIA ยังพบว่า ไทยมีส่วนร่วมกับแผนการกรุงเทพฯ คือ พยายามเปลี่ยนรัฐบาลกัมพูชาด้วยการล้มล้างระบอบของสีหนุ

นอกจากนี้กัมพูชายังเผชิญกับสภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมือง หลังสีหนุต้องเปลี่ยนรัฐบาลราว 10 ชุดในช่วง 3 ปีแรก เท่ากับว่า ทางเลือกของพระองค์ในการปกป้องตนเอง จึงมีไม่กี่อย่างคือ การสร้างกระแสชาตินิยมผ่านวาทกรรม ‘ประวัติศาสตร์ต้านไทย’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งโจมตีไทยในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และยังสามารถสร้างความนิยมผ่านกระแสชาตินิยม

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในเวลานั้น สีหนุสร้างชุดความคิดต้านไทยขึ้น เพื่อปลุกระดมคนในชาติ เช่น วาทกรรมไทยรุกรานกัมพูชาทำให้พระนครล่มสลาย เพราะมีจิตริษยา ขณะที่ยังมีพระราชดำรัสเรียกไทยว่า ‘น้องสาว’ ถือเป็นการลดทอนในสถานะที่ไม่เท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ในพระราชนิพนธ์ของพระองค์ยังเปรียบเปรยไทยว่า ไม่ต่างจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำนาซีเยอรมนี เพราะทำกัมพูชาบ้านแตกสาแหรกขาด ซ้ำร้ายไทยยังอยากได้ดินแดนกัมพูชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังบ่อนทำลาย เสี้ยมให้คนกัมพูชาทะเลาะกันเอง ซึ่งวาทกรรมเหล่านี้มักถูกผลิตซ้ำผ่านวิทยุกระจายเสียงและมหรสพ เช่นการจัดคณะละครชาติที่แสดงเรื่องนักตาคลังเมือง ว่าด้วยเรื่องกองทัพผีที่ช่วยกัมพูชาต้านสงครามกับไทย

เมื่อมองกลับมาในปัจจุบันถึงปมความขัดแย้งครั้งนี้ ยิ่งยศมองว่า วิธีการแก้ไขปัญหาของ 2 ประเทศคือ การอธิบายเรื่องราวตรงไปตรงมา เพราะที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือ จนก่อให้เกิดความทรงจำร่วมอยู่ทั้ง 2 ฝ่าย ขณะที่คนในสังคมเลือกจะเชื่อเช่นนี้ แม้จะมีการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ก็ตาม

https://themomentum.co/feature-thailand-cambodia-dispute/


"คนที่อาสารบกับเขมร ทำไมไม่อาสาไป 3 จังหวัดชายแดนใต้" ถามได้ดี งบประมาณเค้ามีเยอะนะ

.....

Rocket Media Lab
May 30
·
นับแต่เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ในปี 2547 รัฐบาลไทยตั้งงบขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ผ่านแผนงานเป็นการเฉพาะ Rocket Media Lab ชวนดูงบประมาณที่ใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ผ่านแผนดังกล่าว
.
อ่านทั้งหมดที่ https://rocketmedialab.co/deep-south-budget/





https://www.facebook.com/rocketmedialab.co/posts/1218131680328217


แพทองธาร ชินวัตร ย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมกันแก้ปัญหาชายแดน ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ย้ำทุกกระทรวงช่วยกันแก้ไขให้คลี่คลายโดยเร็ว พร้อมรอประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน นี้


พรรคเพื่อไทย
11 hours ago
·
แพทองธาร ชินวัตร ย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมกันแก้ปัญหาชายแดน ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ย้ำทุกกระทรวงช่วยกันแก้ไขให้คลี่คลายโดยเร็ว พร้อมรอประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน นี้
.
วันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในที่ประชุม ครม. ถึงเรื่องของปัญหาชายแดน โดยขอให้คณะรัฐมนตรีร่วมกันแก้ไข ซึ่งการแก้ปัญหาจะไม่มีการเมือง ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เพราะประเทศไทยต้องมาก่อน
.
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยระบุว่า สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ได้สั่งการให้ กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ
.
ทั้งนี้ขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตยของประเทศไทยให้ถึงที่สุด และจะใช้มาตรการต่าง ๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงกับประเทศกัมพูชา ตาม MOU 43 อย่างสันติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย และความเสียหายโดยไม่จำเป็น
.
รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนฯ หรือ JBC โดยในครั้งนี้ทางกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 14 มิถุนายน นี้ จึงขอมอบหมายดังนี้
.
1. ให้กระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องการแถลงข่าวสถานการณ์ดังกล่าว เป็นระยะ โดยให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม และกองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
.
2. ให้หน่วยงานความมั่นคง และ กระทรวงดิจิทัลฯ เข้มงวดควบคุมไม่ให้เกิดข่าวเท็จ Fake News ที่ยุยงปลุกปั่นในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ และขอความร่วมมือให้สื่อต่าง ๆ รวมทั้ง Social Media และภาคส่วนต่าง ๆ อย่าปลุกเร้าขยายให้ความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ ต่อประชาชนคนไทยและประเทศชาติ
.
3. ขอส่งกำลังใจแก่ทุกเหล่าทัพ และทหารที่อยู่ในแนวหน้า ขอให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยด้วยความอดกลั้น เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งรัดแก้ปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด
.
นอกจากนี้ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมประเด็นชายแดนไทย กัมพูชาด้วยว่าจะใช้หนทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลไทยก็ทำเต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตย พร้อมกันนี้ได้ขอให้คนไทยได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกัน ไม่ใช่แค่เพื่อรัฐบาล แต่คือเพื่อประเทศไทย
.
นากรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา คนไทยต้องรวมกันเป็นหนึ่ง สิ่งสำคัญมาก ๆ คนไทยต้องรักกันสามัคคี ไม่ใช่การเมืองในประเทศที่จะต้องมีการแบ่งฝ่ายกัน ทุก ๆ ฝ่ายต้องช่วยกันรวมทั้งสื่อมวลชนด้วย ต้องช่วยกันสื่อสารเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาที่เรามีปัญหาระหว่างประเทศเราต้องสามัคคีกัน ต้องใช้ความเป็นหนึ่ง รักกันของคนในชาติ รัฐบาลไม่ใช่พรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง ฝ่ายค้านรัฐบาลก็คือประเทศไทย และการแสดงความเห็นและการปล่อยข่าวปลอมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
.
“รัฐบาลทำเรื่องนี้เต็มที่และรักษาอธิปไตยของเราไว้ รัฐบาลและทหาร คุยกันตลอดว่าจะไปทางไหนอย่างไร อย่างในเพลงชาติไทย ‘ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด’ ไม่ต้องสงสัย เราเตรียมเครื่องมือพร้อม เผื่อมีการปะทะขึ้นมา เราก็พร้อมที่จะรับมือ ไม่ใช่ประเทศที่เราสันติวิธีปุ๊บ เกิดอะไรขึ้นมาเราไม่พร้อมไม่ได้ ย้ำว่าเราเลือกสันติวิธี ไม่อยากให้มีการปะทะเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ว่าจะของคนใดก็ตาม อุปกรณ์พร้อม เครื่องมือพร้อม แต่เราพูดคุยได้ทุกระดับ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
https://www.facebook.com/photo?fbid=1302961497866163&set=a.508934057268915
.....


พรรคเพื่อไทย
10 hours ago
·
"รองนายกฯภูมิธรรม" บินด่วนชายแดนใกล้ "ช่องบก" หลังประชุม ครม.จบ ฟังรายงานในพื้นที่ สร้างขวัญกำลังใจ ย้ำ การเดินหน้าแก้วิกฤตไทย-กัมพูชา ผ่านเวทีเจรจา JBC
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ในวันนี้ (4 มิ.ย. 2568) เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของกองกำลังสุรนารีในพื้นที่ชายแดนที่เกิดเหตุปะทะ
ในช่วงเช้า ภูมิธรรมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและกองทัพยังคงเป็นไปด้วยดี และรัฐบาลเตรียมเดินหน้าเข้าสู่เวทีการเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างสันติ และสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน

https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/1303015854527394



พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ ชวนย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ Charlie Campbell (Time Mเagazine) สัมภาษณ์ ออ.ไว้ แล้วจะไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงอาการออกเช่นนี้


Pipob Udomittipong
8 hours ago
·
หลังจากดูคลิปที่เหวี่ยงใส่นักข่าวเรื่อง #กัมพูชา คุณลองไปอ่านที่ Charlie Campbell เขาสัมภาษณ์ ออ.ไว้สิครับ จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เพราะเขาไม่ได้ถูก groomed มาให้เป็นผู้นำ

#แพทองธาร เติบโตมาในที่ห่างไกลจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เธอตามขอคะแนนเสียงในปัจจุบัน เธอเกิดที่กรุงเทพฯ และเข้าเรียนในโรงเรียนอีลีท ก่อนจะใช้เวลาหนึ่งปีในการเรียนที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ในสหราชอาณาจักร เธอสารภาพเองว่า เธอสนใจการสังสรรค์มากกว่าอ่านหนังสือ “เมื่อถึงเวลาเรียน ดิฉันก็เรียนหนัก” เธอกล่าว “แต่พอเลิกเรียน ดิฉันก็จะไม่เรียนเลย!” ช่วงเวลาวันหยุดสุดสัปดาห์มักหมดไปกับการรับประทานอาหารค่ำ และเล่นไพ่กับเพื่อน ๆ ในย่านไนท์สบริดจ์ที่หรูหราของลอนดอน ซึ่งพ่อของเธอมีบ้านอยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าฮาร์รอดส์”
https://time.com/.../thailand-paetongtarn-shinawatra.../

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162581537656649&set=a.10150096728651649





 




พี่สาวเผยช่วงเวลา “ต้าร์ วันเฉลิม” คสช. ใช้ทหารตามล่า ก่อนลี้ภัย ถูกอุ้มหายในกัมพูชา


พี่สาวเผยช่วงเวลา “ต้าร์ วันเฉลิม” คสช. ใช้ทหารตามล่า ก่อนลี้ภัย ถูกอุ้มหายในกัมพูชา | TODAY

TODAY

Aug 11, 2023 

“สิตานัน” เผยช่วงเวลา “ต้าร์ วันเฉลิม” คสช. ใช้กลุ่มทหารตามล่า ก่อนลี้ภัย ถูกอุ้มหายในกัมพูชา . “ต้าร์ วันเฉลิม เป็นนางแบกที่มีเหตุผล รู้ข้อมูลเพื่อไทยดีที่สุด หรืออาจเป็นเพราะแบบนี้ถึงมีรายชื่อ คสช. ตามล่า” TODAY Live จากสำนักข่าวทูเดย์ พูดคุยกับ สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของ ต้าร์ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมที่ลี้ภัยทางการเมือง ไปยังประเทศกัมพูชา ก่อนถูกอุ้มหายไปเป็นเวลากว่า 3 ปี พร้อมกับการเปิดใจถึงช่วงเวลาการทำงาน ตลอดถึงช่วงเวลาการลี้ภัย เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น จนมาถึงการตามหาของพี่สาวที่ยังคงรอคำตอบถึงชะตากรรมในวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=xmw871b5VQQ



“หายใจไม่ออก” คือคำพูดสุดท้ายที่พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากน้องชายของเขา วันนี้ครบ 5 ปี ‘วันเฉลิม’ ถูกบังคับสูญหาย ชีวิตประชาชนที่ถูกบังคับให้สูญหาย สู่การเรียกร้อง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ



ครบ 5 ปี ‘วันเฉลิม’ ถูกบังคับสูญหาย ชีวิตประชาชนที่ถูกบังคับให้สูญหาย สู่การเรียกร้อง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ

4 June 2025
The MATTER

“หายใจไม่ออก” คือคำพูดสุดท้ายที่พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากน้องชายของเขา

วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศกัมพูชา ซึ่งถูกอุ้มหาย โดยมีภาพวงจรปิดที่แสดงให้เห็นการบุกอุ้มคนอย่างอุกอาจ บริเวณใกล้ที่พักของเขา ในกรุงพนมเปญ

วันเฉลิม หรือ ต้าร์ เป็นนักกิจกรรมและเคยทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนในประเด็น HIV และความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งในปี 2557 ที่เกิดการรัฐประหาร วันเฉลิมคือหนึ่งในรายชื่อกลุ่มบุคคลที่ คสช. เรียกให้ไปรายงานตัว วันที่ 8 มิถุนายน 2557 แต่เขาปฏิเสธ จึงทำให้ถูกออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืนไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง

จากนั้น ในปี 2558 สำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและประเทศที่คาดว่าใช้หลบหนีจากหน่วยงานความมั่นคงที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา โดย 1 ใน 14 ผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ในลาว ก็มีวันเฉลิมด้วย

วันที่ 4 มิ.ย.2563 เวลาประมาณ 16.40 น. ‘ต้าร์-วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์’ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวไทย วัย 38 ปี ที่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา หลังการรัฐประหารในปี 2557 ถูกชายฉกรรจ์พาตัวขึ้นรถยนต์สีดำ ระหว่างที่เขาลงมาซื้อลูกชิ้นหน้าคอนโดมีเนียมที่พักอาศัยในกรุงพนมเปญ พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับพี่สาว ‘เจน-สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์’ ไปด้วย โดยคำพูดสุดท้ายพี่สาวได้ยินจากน้องชายก็คือ “หายใจไม่ออก” ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกตัดสายไป ตอนแรก ครอบครัวคิดว่าเจ้าตัวเจออุบัติเหตุ ก่อนจะรู้ภายหลังว่าวันเฉลิมถูกลักพาตัวไป

หลังเป็นข่าว แฮชแท็ก #saveวันเฉลิม ก็ขึ้นอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ทันที ด้วยจำนวนการพูดถึงเกิน 1 ล้านครั้ง ในเวลาเพียง 24 ขั่วโมง

#saveวันเฉลิม สู่การเรียกร้องเพื่อบุคคลสูญหาย

หลังจากที่วันเฉลิมถูกอุ้มหาย ทำให้เกิดเป็น #saveวันเฉลิม และเริ่มมีการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบุคคลที่สูญหายในประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่ที่มีการรัฐประหารในปี 2557 มีคนไทยที่ลี้ภัยในต่างประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยชีวิต นอกจากนี้ กรณีของการอุ้มหายผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้กลายเป็นประเด็นเรียกร้องสำคัญในการชุมนุมใหญ่ในปี 2563 ด้วย

อย่างไรก็ตาม จากกรณีของวันเฉลิมทำให้เกิดเป็นการรณรงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย หรือที่เรียกว่า ‘พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย’ ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างจริงจังในประเทศไทยเมื่อปี 2566 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคม ผู้เสียหายและครอบครัวของผู้ถูกบังคับสูญหายอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF), คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ), กลุ่มด้วยใจ และคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันจัดงาน ‘Echoes of Hope: ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง’ เพื่อพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว

“2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีหน่วยงานไหนสัญญาว่าจะออกตามหาผู้ที่เกี่ยวข้อง คนเหล่านั้นยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ” อังคณา นีละไพจิตร สว. และ ภรรยาของสมชาย นีละไพจิตร ผู้ที่ถูกทำให้สูญหาย เมื่อปี 2547 กล่าวในงาน

“พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย คือเครื่องมือสำคัญที่ผลักดันกันมาอย่างยาวนาน แต่กฎหมายนี้จะไม่มีความหมาย หากคนที่ทรมานและคนที่ถูกบังคับให้สูญหาย ไม่ได้รับความยุติธรรม หากความจริงยังไม่เปิดเผย และหากครอบครัวของพวกเขายังคงต้องรอคำตอบอย่างไร้จุดหมาย” แอมเนสตี้ และเครือข่ายภาคประชาสังคม ระบุ

https://thematter.co/brief/244723/244723


June 4th marks the 36 Years of Tiananmen Protests: What Really Happened & Who Was The Tank Man?


36 Years of Tiananmen Protests: What Really Happened & Who Was The Tank Man?

The Indian Express

Jun 4, 2025 

Wednesday (June 4) marks the 36th anniversary of the government crackdown on pro-democracy demonstrators in Beijing's Tiananmen Square. China slid into economic chaos in 1988 with panic buying triggered by rising inflation peaking at more than 30 percent in cities. This is what happened.

https://www.youtube.com/watch?v=gbibatHgKiY



กลิ่นโชยมาแต่ไกล


Punsak Srithep
3 hours ago
·
ได้เวลาตัวตึง
ตรึง ตรึ๋ง ตรึง ตรึง ตะลึงตรึงตรึง ตะลึงตรึงตรึง
#ภาพจากมิตร





 

ทุกคนต้องการสันติ เสียงจาก "ชาวบ้านชายแดน" วิตกกังวล หวั่นเกิดสงคราม พร้อมวอน 2 ฝ่ายเจรจากันอย่างสันติ



4 มิ.ย. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

ทุกคนต้องการสันติ เสียงจาก "ชาวบ้านชายแดน" วิตกกังวล หวั่นเกิดสงคราม พร้อมวอน 2 ฝ่ายเจรจากันอย่างสันติ

วันที่ 4 มิ.ย. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศในพื้นที่บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังเกิดสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนไทยกับกัมพูชา พบว่าชาวบ้านยังคงดำเนินชีวิตออกไปทำไร่ทำนา กรีดยางกันตามปกติ แม้จะรู้สึกวิตกกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องดำเนินชีวิตเพื่อหารายได้มาเลี้ยงจุนเจือครอบครัว และต่างก็ไม่อยากให้เกิดสงครามเหมือนในอดีต อยากให้กองทัพและรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเจรจากันอย่างสันติวิธี



ขณะที่ โรงเรียนบ้านหนองคันนา พบว่ามีหลุมหลบภัยอยู่ภายในโรงเรียน 1 แห่ง มีการปรับปรุงตัดหญ้าทำความสะอาด เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ไว้ก่อนแล้ว

นายคมเพชร ศิริสุข เจ้าของร้านขายของภายใน ม.8 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ชาวบ้านอยู่ใกล้ชายแดน ก็ต้องรู้สึกกังวลและหวาดผวาอยู่แล้ว เพราะอยู่ศูนย์อพยพก็ลำบาก คนเป็นพัน ทำมาหากินก็ไม่ได้ ชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่ได้อยากให้มีปัญหากัน แต่ถ้าจำเป็นต้องรบก็ต้องรบ ในใจก็ไม่อยากให้รบ เพราะเราเดือดร้อน ต้องทำมาหากิน หารายได้มาเลี้ยงครอบครัว



ทั้งนี้ ชาวบ้านก็อยากให้ทั้งสองฝ่ายคุยกัน จะได้ไม่ต้องสู้รบ แต่ถ้าเจรจากันไม่ได้รบก็ต้องรบ เขาจะว่าเราไม่รักชาติอีก คนในพื้นที่ทำใจยาก ถ้าเราไม่อยากให้รบ เรากลัวเดือดร้อน ก็จะหาว่าเราไม่รักชาติ แต่ถ้าปล่อยให้รบ เราต้องเดือดร้อน เราก็ต้องยอมรับกับสถานการณ์เพราะเราอยู่ชายแดน

สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องการสันติ ชาวบ้านก็มีอาชีพ ปลูกอ้อย กรีดยาง ทำนาปลูกมัน ถ้ามีสงครามก็ต้องหยุดทำ เรามีรายได้ทางเดียว ต้องทำมาหากินทุกวัน ถ้าต้องมีสงคราม ก็ต้องหยุดขาดรายได้ และก็ต้องเสี่ยงกับชีวิตอีก

ขณะที่ ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านหนองคันนาออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร พบว่ามีประชาชนชาวไทยทยอยเดินทางไปเที่ยวชมตัวปราสาทและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารตลอดทั้งวันอย่างไม่ขาดสาย ในระยะนี้ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ทหารไทยอย่างใกล้ชิด



ขณะเดียวกันกลับพบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา ไม่เว้นแต่พระสงฆ์พากันเดินทางขึ้นมาเที่ยวชมตัวปราสาทอย่างคึกคักเป็นพิเศษเช่นกัน โดยมีทหารกัมพูชาที่ขึ้นมาสังเกตการณ์และอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาบนตัวปราสาทตาเมือนธมเช่นเดียวกัน.

https://www.thairath.co.th/news/local/2862510

สุรชาติ เปิด 4 ฉากทัศน์ ชายแดน ไทย-กัมพูชา เสนอชื่อมือดี แนะรีบตั้งคณะทำงาน เร่งเปิดเจรจา



3 มิถุนายน 2568
มติชนออนไลน์

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ให้สัมภาษณ์กรณีพิพาทชายแดน ไทย – กัมพูชา ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand โดยให้ข้อสังเกตไว้ 12 ข้อ อย่างน่าสนใจ ได้แก่ 1.ปัญหาการสื่อสารของรัฐบาลชุดนี้ เรายังไม่เห็นการสื่อสารทางการเมือง เหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่มีแถลงการณ์ที่เป็นทางการของรัฐบาลไทยออกมา บทบาทนายกฯ ก็เรื่องหนึ่ง แต่แถลงการณ์ที่เป็นทางการจะต้องออก เพื่อชี้แจงกับพี่น้องประชาชน

ข้อ 2.การสื่อสารกับหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรหรือเปล่า เพราะโพสต์กันเยอะ แต่ถ้าไม่มี จะเกิดปัญหา ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร 3.จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน สำหรับผู้ปฏิบัติ รัฐบาลจะพูดด้วยคำพูดสั้นๆ ลอยๆ ว่าหาทางแก้ปัญหาแบบสันติแบบนี้ มันไม่ใช่แล้ว เพราะวันนี้มันไม่ใช่แค่กำลัง แต่อาวุธหนักเขาติดตั้งแล้วทั้ง 2 ฝ่าย และผู้ปฏิบัติต้องการแนวทางที่ชัดเจนของทางฝ่ายการเมือง 4.เชื่อว่า การเจรจาในระดับบน ถ้าเกิดและมีผลต้องสื่อสารให้ผู้ปฏิบัติที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผบ.ทบ. ทราบเพื่อปรับทิศทางและเกิดความเข้าใจ 5.แต่ถ้าการเจรจาระดับบน สำเร็จจริง เราจะต้องเห็นภาพของการลดความตึงเครียด ไม่ใช่ภาพอย่างที่เราเห็น ซึ่งมันสะท้อนการเจรจาระดับบนที่เราเห็น น่าจะมีปัญหาติดขัด



6.ขอใช้ศัพท์ว่า นายกฯอาจต้องคิดเรื่องใหญ่ทิ้งเรื่องเล็ก ถ้าเป็นไปได้ขอนายกฯลด ละ เลิก เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เพราะวันนี้ปัญหาใหญ่รออยู่ ทั้งเจรจาภาษีทรัมป์ ปัญหาปักษ์ใต้ และ ปัญหากัมพูชา อยากเห็นนายกฯเป็นนายกฯ ที่รับผิดชอบงานใหญ่ของประเทศ 7.โดยหลักการแล้ว รองนายกฯด้านความมั่นคง ต้องเรียประชุมสภาความมั่นคง วันนี้เราไม่เห็นการเรียกประชุม สมช. เกิดอะไรในกลไกของฝ่ายไทย 8.แต่ถ้าไม่เรียกประชุม สมช. ก็ควรจะเรียกประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป เพราะ รมว.กลาโหม นั่งเป็นประธาน ซึ่งเราเรียกได้ ที่นายกฯเป็นประธานด้วย ไม่เช่นนั้นต้องเรียกประชุม JBC ฝ่ายไทย คณะกรรมการเขตแดนร่วม ซึ่งทราบว่าใช้กลไกนี้ แต่ควรเรียกกรรมการฝ่ายไทยคุย เพื่อสร้างเอกภาพของทิศทาง 9.จนถึงวันนี้ เราไม่เห็นทิศทางและบทบาทที่ชัดเจน ของ 2 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงกลาโหม และ กระทรวงต่างประเทศ คำถามคือ ทำไมมี Reaction ค่อนข้างช้ามาก บทบาทกระทรวงหายไปไหม ไม่มีคำแถลงที่เป็นทางการจากทั้งคู่

10.รมว.กลาโหม อาจจะต้องนั่งทบทวนบทบาทของตัวเองเหมือนกัน เพราะปัญหาใหญ่ๆ ด้านการทหาร มันท้าทาย อย่าให้ตัวเองถูกเข้าไปติดกับดักเรื่องการซื้ออาวุธ เพราะอีกไม่นาน เตรียมทำข่าวได้เลย กองทัพอากาศจะเอาเรื่องซื้อกริพเพนเข้า ผบ.ทอ.กับฝ่ายการเมืองเขาคุยกันแล้ว เรือดำน้ำจีนเครื่องจีน ไม่ใช่เรือดำน้ำจีน เครื่องเยอรมัน ก็จะรอเข้า เรือฟริเกตของทร. ฝากรมว.ว่า ระวัง ถ้าตัดสินใจแต่เรื่องอย่างนี้ จะกลายเป็นประวิตร 2 ที่ซื้ออาวุธบนความรู้สึกของพี่น้องประชาชนที่ไม่ตอบรับ และจะกลายเป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทยเอง อยากเห็นรัฐมนตรีกลาโหม หรือ รองนายกฯมั่นคง สนใจปัญหาความมั่นคงของฝ่ายทหารบ้าง หรืออย่างน้อย อยากเห็นการออกไปตรวจแนวชายแดน ฝั่งกัมพูชาเขาออกไปตรวจแนวชายแดนแล้ว เรื่องใหญ่ เป็นสัญญาณใหญ่ ไม่พอ ยังให้เงินทหารชายแดนไปซื้อของเอามารับประทาน ของเราหายไปไหน



11.การปลุกกระแสชาตินิยม เกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย ในมุมหนึ่ง ยิ่งรัฐบาลไทยขยับตัวช้า กระแสชาตินิยมไทยอาจจะยิ่งแรง และเป็นแรงปะทะกับรัฐบาลที่มากขึ้น รวมถึงวันนี้ เชื่อว่า ใครอ่านในเฟซบุ๊ก กระแสความไม่พอใจมีมาก ไม่ใช่ปีกอนุรักษ์นิยมอย่างเดียว และอาจจะต้องเตรียมรับ สะพานมัฆวาน 2 เหมือนปี 2551 ที่เห็นกรณีเขาพระวิหาร 12. คิดว่าวันนี้ ปัญหาใหญ่ คือการกำหนดทิศทางและการกำหนดข้อมูล ไม่แน่ใจว่าจนถึงวันนี้ รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานจริงๆไหม ตั้งทีมทำงานเรื่องนี้ ปกติ จะไม่เสนอตัวบุคคล แต่วันนี้ สถานการณ์เร่งด่วน และต้องการเห็นผู้รู้นั่งเป็นหัวหน้าทีมจริงๆ ท่านหนึ่ง ท่านทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ถ้า รมว.มาริษ และรมว.ภูมิธรรม ไม่ติดอะไรมาก ตั้งเป็นหัวหน้าทีมเลย ต้องรีบเคลียร์ ทั้งกรณีตาเมือนธม และ กรณีศาลาตรีมุข

อ.สุรชาติ กล่าวอีกว่า จาก 12 ประเด็นนี้ กัมพูชาได้เปรียบอะไร กัมพูชาได้เปรียบใน 4 ประเด็นใหญ่ในทางยุทธการ คือ 1.กัมพูชาเข้าพื้นที่ได้แล้ว คูเลต อยู่ในแนวเส้นเขตแดนไทย 150 ม. 2.การเอากำลังทหารราบและอาวุธหนักเข้า เป็นการสถาปนาอำนาจตามแนวชายแดน ซึ่งต้องคิด เพราะล่อแหลมต่อสงคราม 3.เราเห็นการเพิ่มกำลังที่ไม่หยุด และ 4.การสร้างแนวป้องกันที่แข็งแรง เริ่มเห็นสัญญาณเตรียมรบ



พร้อมกันนี้ ยังได้ตั้งสถานการณ์จำลอง 4 อย่าง คือ 1.คุยแล้วจบ แปลว่ากัมพูชาถอนกำลังและยุติการอ้างสิทธิทั้งหลาย แต่คำตอบวันนี้คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาเล่นใหญ่ 2.คุยแล้วจบชั่วคราว คือจบบางอย่าง แปลว่าถอนกำลังแต่ไม่ยกเลิกการอ้างสิทธิ มีความเป็นไปได้ คือแก้ได้แค่ปัญหาเฉพาะหน้า 3.คุยแล้วไม่จบแล้วไปจบที่ศาลโลก ย้อนรอยปราสาทเขาพระวิหาร 4.คุยแล้วไม่จบเลย คือรบใหญ่

“ถ้าถามเฉพาะหน้า เห็นท่าทีรัฐบาล คือ อ้ำอึ้ง อู้อี้ คือไม่ชัดเลย ผมคิดว่าการสื่อสารเรื่องนี้ สำคัญ ต้องรีบพูด เพราะการแก้ปัญหาชายแดนเราจะเจอคำ 2 คำ คือ อึดอัด กับ อดทน ปัญหาอึดอัด จะได้เท่าไหร่ ทนได้เท่าไหร่ ทั้ง 2 ฝ่าย”

อ.สุรชาติ ยังได้ให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาชายแดน “1 จ. กับ 3 ไม่” คือ 1.เปิดการเจรจา วันนี้เวทีการทูตระหว่าง 2 ฝ่ายต้องเปิด ไม่ว่าจะเป็นระดับส่วนตัวหรือไม่ส่วนตัว เพราะยังหวังว่าการเจรจาดีกว่าไม่มี 2.ที่ดีที่สุดคือ ต้องไม่เคลื่อนกำลังรบ แต่วันนี้เป็นไปไม่ได้แล้วเพราะเลยจุดนั้นแล้ว 3. ไม่รบ 4.อย่าเร่งปิดชายแดน เหมือนโมเดลพม่า ในอดีตเวลามีปัญหากับพม่า ทางพม่าจะรีบปิดชายแดนทันที ตนคิดว่าอาจจะกลายเป็นปัญหาอีกแบบ หากปิดชายแดน จะเหมือนกับเราไปสร้างปัญหาให้มากขึ้น เพราะ เรากำลังถูกมองจากโลกเหมือนกัน เป็นโจทย์ระหว่างประเทศ ดีไม่ดี อาเซียนต้องเข้ามา และจะเป็นโจทย์ใหญ่

https://www.matichon.co.th/politics/news_5213123


วันพุธ, มิถุนายน 04, 2568

รัฐบาลออกแถลงการณ์ปัญหาชายแดนกับกัมพูชา จะร่วมกันแก้ไขด้วยสันติวิธี แต่ไม่ระบุถึงพื้นที่ทับซ้อนที่ทางกัมพูชาต้องการ อันอาจเป็นแผนสมคบคิดก็ได้

ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งพอดี ก็มีแถลงการณ์ออกมาจากรัฐบาลแพทองธาร เกี่ยวกับกรณีพิพาทกับเขมร ว่า “ทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับ” และ “เห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติ และไม่ลุกลามบานปลาย”

ใช่ละ สถานการณ์ทางทหารไม่บานปลายมาหลายวันแล้ว แต่สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ถูกสองพ่อลูกรัฐบาลกัมพูชากระพือมาหลายวันเช่นกัน แถลงการณ์ไทยบอกว่าตกลงกันจะใช้กลไก เจบีซี–ประชุมกรรมการร่วม ในการแก้ไข

โดยใช้ เอ็มโอยู ๒๕๔๓ เป็นแนวทางในการประชุมหารือ “เรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทวิภาคี” ที่จะมีขึ้นนัดแรกที่ประเทศกัมพูชาวันที่ ๑๔ มิถุนายน นอกนั้นก็จะมีการเจรจาปัญหาชายแดนทั่วไป จีบีซี และระดับภูมิภาค อาร์บีซี

จีบีซีนั้นระดับประเทศ ให้รัฐมนตรีกลาโหมทั้สองฝ่ายคุยกัน ส่วนอาร์บีซีระดับภูมิภาค ก็ให้แม่ทัพภาคสองฝ่ายคุยกัน ฟังดูเข้าท่าดี แต่เอ๊ะ ทำไมไม่มีการเอ่ยถึงต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น กรณีมีการยิงกันที่ช่องบก เนื่องจากมีทหารกัมพูชาเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน

อย่างนี้ก็ต้องไปฟัง กัณวีร์ สืบแสง พรรคเป็นธรรม ให้รายละเอียดปัญหาว่า กัมพูชาส่งกำลังทหารเข้าไปตรึงไว้บริเวณสามเหลี่ยมมรกต ที่ควรเป็น “no man's land” แต่มีการขุดเจาะแนวคูเลตเข้าไปเกือบ ๑ กิโลเมตร แล้วบอกจะฟ้องศาลโลกด้วย

ฮุนเซ็นและรัฐบาลของฮุนมาเน็ตลูกชาย ใช้มติในสภานิติบัญญัติของกัมพูชา ๑๘๒ เสียง “ฟ้องศาลโลก เอาปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทโดนตวล ช่องบกสามเหลี่ยมมรกต และเกาะกูดกลับมาเป็นของตนให้ได้”

กัณวีร์ยังเผยด้วยว่า “เขตแดนไทย-กัมพูชาที่ยังมีปัญหากันอยู่มีทั้งหมด ๓๐ จุด ตั้งแต่พื้นที่ ทัพภาค ๑- ทัพภาค ๒ ตั้งแต่สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์” เหล่านี้เขาตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นแผนสมคบคิด Conspiracy Theory หรือไม่

คือสร้างสถานการณ์ชายแดนพื้นที่ทับซ้อนบนบก เพื่อกลบเกลื่อนประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่เคยปะทุเมื่อไม่นานมานี้สมัยรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ถูกกลบเกลื่อนให้เงียบไป เพราะผลประโยชน์เรื่องทรัพยากรทางทะเล ที่แบ่งปันโควต้ากันลงตัวไปแล้ว

พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล หรือ โอเอซีนี้เคยมีการประเมินว่า สามารถทำเงินจากแก๊ซธรรมชาติใต้ทะเลปีละประมาณ ๑.๕ แสนล้านบาท “นี่ไม่รวมกับกำไรของพวกบรรษัทข้ามชาติที่จะได้” เขาแก้ตัวกรณี “ให้กำลังใจพี่น้องกองทัพภาคที่ ๒” ว่า

“ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เห็นพี่น้องเราไปอยู่ในสภาวะสงคราม มันผิดด้วยเหรอครับที่เราจะให้กำลังใจคนไทยด้วยกัน” อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้ “มันดู ทะแม่งๆ เหมือนกับ (มี) ดีลปีศาจ” ซ่อนอยู่ “เหตุผลที่เราเห็นกันอยู่มันไม่ใช่การก่อให้เกิดสงคราม”

(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/Pcy8C3bPaZ9 และ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9788632)