วันอังคาร, ตุลาคม 21, 2568

ช่วยกันจับตา และ เป็นกำลังใจ อ.ธงชัย พรุ่งนี้ (21 ตุลาคม 2568) เวลา 13.30 น. อ.ธงชัย วินิจจะกูล จะเดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ในคดีหมายเลข ปท. 2/2568 กรณีใส่เครื่องพันธนาการอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ต้องขังคดีทางการเมือง


Cross Cultural Foundation (CrCF)
12 hours ago  
·
พรุ่งนี้ (21 ตุลาคม 2568) เวลา 13.30 น. ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล จะเดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล ในคดีหมายเลข ปท. 2/2568 ขอให้ศาลไต่สวนกรมราชทัณฑ์ในการใส่เครื่องพันธนาการอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและผู้ต้องขังคดีทางการเมือง เพื่อยืนยันว่าการใช้เครื่องพันธนาการด้วยการใส่กุญแจเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวอานนท์มาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นอกจากจะเป็นการละเมิดกฎหมายในประเทศ ยังเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น
.
อ่านข่าว : https://crcfthailand.org/2025/10/20/61182/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1311081067482233&set=a.733019715288374



2 ปีในคุกที่ไกลบ้าน: วันที่ศาลฎีกาตอกย้ำโทษคดี ม.112 และชีวิตที่ยังคงต่อสู้ของ “กัลยา”


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
10 hours ago
·
2 ปีในคุกที่ไกลบ้าน: วันที่ศาลฎีกาตอกย้ำโทษคดี ม.112 และชีวิตที่ยังคงต่อสู้ของ “กัลยา”
.
.
ย้อนไปสองปีก่อนหน้านี้ “กัลยา” เป็นเพียงพนักงานบริษัทเอกชนธรรมดาคนหนึ่งในย่านนนทบุรี ที่ชีวิตต้องมาเกี่ยวข้องคดีมาตรา 112 ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส ซึ่งมี พสิษฐ์ จันทร์หัวโทน เป็นผู้กล่าวหาคดีจำนวนมากไว้ที่ สภ.สุไหงโก-ลก
.
กัลยาถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 4 ข้อความ โดยกล่าวหาเป็น 2 กระทง ข้อกล่าวหาถูกระบุว่าโพสต์เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2564 มาจากคอมเมนต์ในเพจแนะนำหนังเกี่ยวกับกษัตริย์ในอดีตของเกาหลี, จากข้อความที่โพสต์ภาพถ่ายจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2563, จากการเขียนข้อความประกอบการแชร์โพสต์ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และการแชร์โพสต์จาก ธนวัฒน์ วงค์ไชย แล้วเขียนประกอบว่า “แน่จริงยกเลิกม.112 #แล้วจะเล่าให้ฟัง
.
หลังต่อสู้คดี เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ศาลจังหวัดนราธิวาสพิพากษาว่ากัลยามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ลงโทษกระทงละ 3 ปี สองกระทง รวมลงโทษจำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนได้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
.
ต่อมาวันที่ 20 ต.ค. 2566 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น หนำซ้ำกัลยาที่ประสงค์จะต่อสู้คดีต่อในชั้นฎีกากลับไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว เธอต้องถูกจองจำในเรือนจำที่ห่างไกลจากบ้านกว่าหนึ่งพันกิโลเมตรนับตั้งแต่นั้น
.
ทุกวันนี้ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส กัลยายังได้พบกับทนายความที่เข้าไปพบเธอเพื่อติดตามชีวิตและความเป็นไปข้างในนั้น รวมถึงคอยส่งข่าวสถานการณ์จากโลกภายนอกให้กัลยารับทราบ ขณะเดียวกันที่ จ.นราธิวาส ยังมี “อุดม” พนักงานโรงงานจากปราจีนบุรี เป็นผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 อีก 1 ราย ที่ถูกคุมขังด้วย แต่คดีของเขายังรอคำพิพากษาของศาลฎีกาอยู่
.
จากบันทึกการเยี่ยมตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม 2568 สะท้อนชีวิตของกัลยาที่ต้องต่อสู้ทั้งกับสุขภาพที่ทรุดโทรมจากโรคลิ่มเลือด เธอยังคงพยายามประพฤติตัวให้ดีผ่านการเข้าร่วมอบรม เพื่อส่งผลต่อการเลื่อนชั้นนักโทษ ท่ามกลางความทุกข์ยากนั้น ช่วงเวลาที่ได้พบครอบครัว จดหมายจากเพื่อน ๆ และการสื่อสารกับแฟนกลายเป็นกำลังใจสำคัญในเวลาเช่นนี้
.
ขณะที่ข่าวที่เอกชัย หงส์กังวาน กลายเป็นผู้ต้องขังอีกครั้งทำให้ทั้งเธอและอุดมเศร้า แต่ก็ยังคงให้กำลังใจกันและกัน พร้อมรอคอยวันที่จะได้เป็นอิสระอีกครั้ง
.
แม้ในปีนี้จะมี พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ออกมา แต่เธอไม่ได้รับประโยชน์ใด และไม่ได้รับการลดหย่อนโทษลง เนื่องจากถูกจำคุกมายังไม่ถึง 1 ใน 3 ของโทษ ในวันที่ พ.ร.ฎ. มีผลใช้บังคับ จนถึงวันนี้กัลยายังเหลือโทษอีกถึง 4 ปีจากคำพิพากษาของศาล
.
อีกปีผ่านไป จากเรื่องราวของกัลยาที่ครบ 1 ปีแห่งการถูกจองจำในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส เธอต้องเผชิญกับ “คุกที่ซ้อนคุก” มาถึงวันที่ 20 ต.ค. 2568 ครบ 2 ปีที่เธอยังถูกคุมขังอยู่ และชีวิตของเธอก็ยังคงต่อสู้อยู่เช่นกัน
.
เมื่อ 8 เดือนที่แล้ว วันที่ 13 ก.พ. 2568 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้เบิกตัวกัลยาไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยที่เธอไม่ทราบนัดล่วงหน้าและไม่ได้ส่งหมายนัดมายังทนายจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษา ก่อนทราบว่าศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา และคดีของกัลยาถึงที่สุดลงแล้ว
.
.
อ่านเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์

https://tlhr2014.com/archives/79330



เปิดรายละเอียด 8 เครื่องเพชรที่ถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์


World Forum ข่าวสารต่างประเทศ
17 hours ago
·
ฝรั่งเศส : ปารีส
โจรกรรม พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

เครื่องประดับ 8 ชิ้นงาน ที่ประเมินค่าไม่ได้ ถูกขโมยจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์

20ตุลาคม 2025
เหตุคนร้าย 3-4คน โจรกรรมช่วงเช้า ขณะพิพิธภัณฑ์เปิดทำการ 30 นาทีแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม เครื่องประดับจำนวน 8 ชิ้นที่มี “คุณค่าทางมรดกวัฒนธรรม ที่ประเมินค่าไม่ได้” ถูกขโมยไปจากตู้จัดแสดงสองตู้ ภายใน ห้องแกลเลอรี Galerie d'Apollon ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

กระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศสเปิดเผยในแถลงการณ์ว่า เครื่องประดับเหล่านี้ถูกขโมยโดย กลุ่มคนร้าย 4 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามจับกุม โดยเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการลงมือเหมือน “หน่วยคอมมานโด” ที่เตรียมการมาอย่างดี

รายการเครื่องประดับทั้ง 8 ชิ้นที่ถูกขโมยไป ได้แก่

1.รัดเกล้า (Tiara) จากชุดเครื่องเพชรของราชินีมารี-อาเมลี (Marie-Amélie) และราชินีออร์ตองส์ (Hortense)
2. สร้อยคอจากชุดเครื่องประดับ ไพลิน ของพระราชินีทั้งสองพระองค์ ราชินีมารี-อาเมลี และราชินีออร์ตองส์
3. ต่างหูหนึ่งข้าง จากชุดเครื่องเพชรไพลินของราชินีมารี-อาเมลี และราชินีออร์ตองส์
4. สร้อยคอประดับ มรกต (émeraude) จากเครื่องประดับของจักรพรรดินีมารี-หลุยส์
5. ต่างหูมรกตหนึ่งคู่จากชุดเครื่องเพชรของมารี-หลุยส์
6. เข็มกลัดแบบ “broche reliquaire” (เข็มกลัดเก็บของที่ระลึก/ของศักดิ์สิทธิ์ เข็มกลัดวัตถุมงคล)
7. รัดเกล้า (Tiara) ของจักรพรรดินียูเชนี(Eugénie)
8. เข็มกลัดประดับอกเสื้อรูปโบว์ขนาดใหญ่ของจักรพรรดินียูเชนี

ในตอนแรก มงกุฎของจักรพรรดินียูเจนี ซึ่งมีความสูง 13 ซม. และกว้าง 15 ซม. ทำจากเพชร 1,354 เม็ด, “กุหลาบเพชร” 1,136 เม็ด และมรกต 56 เม็ด ก็ถูกขโมยไปด้วย แต่ในระหว่างการหลบหนี คนร้ายได้ทิ้งมงกุฎนี้ไว้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงวัฒนธรรมระบุว่า “กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบสภาพความเสียหาย”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่จัดแสดงเครื่องเพชรพลอยของราชวงศ์ฝรั่งเศสและ “เพชรมงกุฎแห่งฝรั่งเศส (Crown Jewels)” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของชาติฝรั่งเศส

มาครง ให้คำมั่นว่าผู้ก่อเหตุจะถูก นำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

* ข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศส รายงานว่า
เครื่องประดับล้ำค่าจำนวน 8 ชิ้นที่จัดแสดงอยู่ในตู้โชว์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูง 2 ตู้

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1370914294597569&set=a.658722912483381.....




เครื่องประดับที่ถูกขโมย

รายงานพบว่ามีเครื่องประดับทั้งหมด 8 ชิ้นที่ถูกขโมยไปจากห้องจัดแสดง ซึ่งสิ่งของทั้งหมดนั้นล้วนเป็นของราชวงศ์ฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 และประดับด้วยเพชรนับพันเม็ด รวมถึงอัญมณีล้ำค่าอื่น ๆ

กระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศสระบุว่า ของที่ถูกขโมยมีดังนี้
  • รัดเกล้า (tiara) และเข็มกลัดของจักรพรรดินีเออเฌนี พระมเหสีของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
  • สร้อยพระศอ(สร้อยคอ)มรกตและพระกุณฑล(ต่างหู)มรกตหนึ่งคู่ของจักรพรรดินีมารี หลุยส์
  • รัดเกล้า สร้อยพระศอ และพระกุณฑล(ต่างหู)ข้างหนึ่งจากชุดเครื่องเพชรแซฟไฟร์ ซึ่งเคยเป็นของสมเด็จพระราชินีมารี-อาเมลี และสมเด็จพระราชินีออร์ต็องส์
  • เข็มกลัดที่รู้จักกันในชื่อ "เข็มกลัดรีลิกเควรี" (reliquary brooch) หรือแปลว่า "เข็มกลัดบรรจุวัตถุมงคล"
ขณะที่มงกุฎของจักรพรรดินีเออเฌนีถูกพบใกล้ที่เกิดเหตุ เพราะดูเหมือนว่าคนร้ายจะทำตกไว้ระหว่างหลบหนีอย่างเร่งรีบ

ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ มงกุฎอันวิจิตรนี้ประดับด้วยลายอินทรีทองคำ และประดับเพชร 1,354 เม็ด พร้อมมรกตอีก 56 เม็ด ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่ามีความเสียหายหรือไม่

สาเหุตที่คนร้ายเลือกขโมยเครื่องเพชรนั้น เนื่องจากสามารถแยกชิ้นส่วนออกมาขายเป็นเงินสดได้ง่าย ขณะที่ผลงานศิลปะล้ำค่ามักขายต่อได้ยาก เพราะมีลักษณะเฉพาะและสามารถระบุตัวตนได้ง่าย

โลรองต์ นูเญซ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส กล่าวว่า นอกเหนือจากมูลค่าทางการค้าแล้ว เครื่องประดับที่ถูกขโมยไปยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจคำนวณได้ โดยเขาอธิบายว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ "ประเมินค่าไม่ได้" และมี "คุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจวัดได้"

อ่านบทความเต็มต่อที่
https://www.bbc.com/thai/articles/cze6p16e64po


https://www.bbc.com/thai/articles/cze6p16e64po
https://www.facebook.com/watch/?v=1771961753550032


การเมืองญี่ปุ่นเข้าสูตรแบบไทย รัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคร่วมจากฝ่ายค้าน YIP จะยกมือให้หัวหน้าพรรค LDP แต่ไม่ร่วม ครม. โดยมีเงื่อนไขหลายข้อที่ต้องปฏิรูประบบราชการ, ลดจำนวน สส. 10% , ลดค่าใช้จ่ายและหยุดเก็บภาษีแวตชั่วคราว!


Pop Anan 
11 hours ago
·
ในที่สุด นาทีประวัติศาสตร์ ก็จะมาถึงจริง ๆ ซะที ชีซานาเอะของฉัน ได้พรรคการเมืองคนรุ่นใหม่ที่มีผู้ว่าโอซาก้าที่คนไทยชมว่าหล่อเหลายิ่งนักเป็นหัวหน้าพรรค คือพรรค Japan Innovation Party (維新の会) เข้าร่วมเป็นพรรครัฐบาลน้องใหม่ แต่พวกผมไม่ได้จะมายกมือให้พี่ฟรี ๆ ผมมีข้อเสนอ 12 ข้อมาให้พี่พิจารณาด้วยนะ #ปาใส่หน้าซานาเอะ
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการแก้กฎหมายห้ามองค์กรบริษัทห้างร้านใด ๆ บริจาคให้พรรคการเมืองอีก (แต่หลายฝ่ายก็มองว่ามันจะเป็นไปได้เร้อ) หรือข้อเสนอไม่เก็บแวตแม้แต่เยนเดียวในหมวดสินค้าอาหาร
แต่นโยบายที่พรรค JIP ยื่นข้อเสนอเด็ดขาดว่า #ต้องทำ ไม่งั้นพวกผมจะล่มรัฐบาลแน่ คือการแก้กฎหมายให้ลดจำนวนสมาชิกรัฐสภาลงอย่างน้อย 10% ซึ่งซานาเอะก็รับปากเป็นแม่นมั่นว่า "ทำแน่นอน!"
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ พรรค JIP มีท่าทีว่าจะไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีใด ๆ ให้ LDP บริหารจนครบวาระที่เหลืออีก 2 ปีไปเล้ย แล้วอีก 2 ปีพวกผมจะมาดูใหม่ว่าคุณทำได้ตามที่ตกลงกันไว้ 12 ข้อได้แค่ไหน ถ้าทำดีอาจพิจารณาส่งคนไปรับตำแหน่งบริหารร่วมกัน
ซีนาริโอนี้คุ้น ๆ แต่ไม่เหมือนรัฐบาล 4 เดือนของเรา เพราะของเรามีฝ่ายค้านในฝ่ายค้าน แต่นี่มันคือฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลในรัฐบาลนี่หว่า
ไม่ว่ายังไงก็ตาม พรุ่งนี้ 21 ตุลาคม 2025 ญี่ปุ่นจะได้นายกฯ หญิงเป็นคนแรกแล้วค่า #ปรบมือ

https://www.facebook.com/pachimax/posts/10239361742680716
.....


https://www.facebook.com/watch/?v=1800174774221176


สุดท้ายสว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ก็ลงมติด้วยเสียงข้างมาก เห็นชอบกกต.ใหม่ 2 คน ในวันนี้ นี่คือสัญญาน การ "กินรวบกกต." ที่จะนำไปสู่ บทสรุปแห่งคดีฮั้วสว. จากดำจะกลายเป็นขาว


"สว.นันทนา" เดือด! ไฟเขียว 2 กกต.ใหม่ | HOTSHOT เดลินิวส์ 20/10/68

Dailynews Online

11 hours ago

https://www.youtube.com/watch?v=4yrj0-v9vwc
.....

ดร.นันทนา นันทวโรภาส 
7 hours ago
·
สุดท้ายสว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ก็ลงมติด้วยเสียงข้างมาก เห็นชอบกกต.ใหม่ 2 คน ในวันนี้
นี่คือสัญญาน การ "กินรวบกกต." ที่จะนำไปสู่ บทสรุปแห่งคดีฮั้วสว. จากดำจะกลายเป็นขาว หรือคดีอาจจะมลายหายไป กลายเป็นฝุ่น PM2.5 ก็เป็นได้
ยุคสีน้ำเงินครองเมือง ยังจะเหลือองค์กร ที่เป็น "อิสระ" อยู่หรือ ?



การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ใช่ว่าไม่สำคัญ


กัปตันคนเนิร์ด
19 hours ago
·
โพสต์นี้อยากให้กำลังใจเพื่อนๆที่ช่วยกันสื่อสารประเด็นทางสังคมทุกคนครับ
ช่วงที่ผ่านมา ถ้าใครทำงานสื่อสารตรงนี้ ยังไงก็โดนด่า อาจจะไม่หนักเท่าคุณไอซ์หรือ สว.อังคณา แต่ก็ต้องโดนด่าบ้างไม่มากก็น้อย
เราอาจจะเริ่มรู้สึกท้อ ว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สุดท้ายคนก็มาคอมเมนต์แบบเดิมๆอยู่ดี ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ, เรื่องชายแดน, เรื่องทุนเทา
แต่จริงๆมันไม่ได้ไร้ผลขนาดนั้นครับ แค่เป็นผลที่เรามองไม่เห็น
มีพี่ในวงการคนนึงกล่าวไว้ ซึ่งผมก็เห็นด้วย ว่าคนที่ปรากฏตัวออกมาคอมเมนต์ประเด็นอ่อนไหวพวกนี้ ส่วนมากจะเป็นคนที่เห็นด้วยมากๆ และคนที่ไม่เห็นด้วยมากๆ
ส่วนคนที่เห็นกลางๆ ก็อาจมีมาคอมเมนต์บ้าง แต่สัดส่วนน้อยถ้าเทียบกับคนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
และคนที่เห็นกลางๆนี่แหละ ที่จะเป็นผู้ที่การทำงานของพวกเราได้ผลมากที่สุด แต่เราจะไม่ค่อยเห็น เพราะพวกเค้าไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาแสดงความคิดเห็น
แล้วจำนวนคนที่เห็นกลางๆนี่ไม่น้อยนะครับ ไม่งั้นผลการเลือกตั้ง สส. คงไม่เหวี่ยงขนาดนี้ เพราะคนกลุ่มนี้จะไม่ตามการเมือง แต่จะตัดสินใจเป็นครั้งๆไป
อย่างกรณีคุณไอซ์ที่บวกคุณกันจอมพลัง แม้เราจะยังเห็นคอมเมนต์ด่าคุณไอซ์อยู่เต็มไปหมดเหมือนเดิม แต่จริงๆการกระทำของคุณไอซ์สร้างแรงกระเพื่อมกับคนที่เห็นกลางๆมาก
เท่าที่ผมไปสำรวจความเห็นคนที่เห็นกลางๆ ไม่ค่อยได้ตามกลางเมือง หลายคนเคยบริจาคให้คุณกันบ้าง แต่พอมารู้เรื่องต่างๆที่คุณไอซ์แชร์ หลายๆคนก็ตัดสินใจไม่บริจาคแล้ว และไม่ได้ชื่นชมคุณกันเหมือนเดิม
รวมไปถึงเรื่องกัมพูชา จากที่คนที่เห็นกลางๆตอนแรกหลายๆคนก็เกลียดกัมพูชา แต่พอคุณโรมอภิปราย ความเห็นก็เริ่มเปลี่ยนไป และเริ่มตระหนักได้ว่าถ้าจะจัดการกัมพูชาจริงๆ ต้องจัดการท่อน้ำเลี้ยงฮุนเซน ไม่ใช่ไปเปิดเสียงผี
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร และไม่ว่าคุณจะช่วยกันพูดยังไงอยู่ ทำต่อไปครับ ทุกเสียงของทุกคนมีความหมาย แม้ผลจะมองเห็นไม่ชัด แต่ผลที่เกิดมันเยอะกว่าที่คิด
เป็นกำลังใจให้ครับ

https://www.facebook.com/captainnerd23/posts/730670590033754



กินปูนร้อนท้อง ? แบงค์ ศุภณัฐ โพสต์ข้อเท็จจริง ว่าบริษัทนี้เช่าตึกซิโนไทย แล้วตั้งคำถาม ว่ารู้จักกัน? หรือไม่รู้จัก? หวังแอบอ้าง หวังรู้จัก ไม่ได้เป็นการปรักปรำอะไรเลย


กัปตันคนเนิร์ด
9 hours ago
·
เราจะฟ้องคดีกันเพราะการโพสต์ที่อยู่บริษัทจริงหรอ

สำหรับผม โพสต์ของ สส.แบงค์ ก็ไม่ได้กล่าวหาอะไรขนาดนั้นเลย

คือถ้าใช้เกณฑ์นี้ฟ้องคดีกันจริง ผมน่าจะฟ้องคอมเมนต์ได้วันละ 3 ทีมบอล ฟ้อง 7 วันครบพรีเมียร์ลีกพอดี

นี่ขนาดผมที่ไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้นนะ แล้วคิดดูว่าถ้าคนดังๆที่เจอคอมเมนต์เยอะๆพร้อมใจกันฟ้องคดีบางๆแบบนี้ ศาลไม่ต้องทำอะไรแล้ว
https://www.facebook.com/photo/?fbid=731034319997381&set=a.129782700122549
.....

12 hours ago
·
เลอะเทอะ ฟ้องแก้เกี้ยว แถมจะทำให้คนสงสัยว่าร้อนท้องอะไร
แบงค์ ศุภณัฐ โพสต์ข้อเท็จจริง ว่าบริษัทนี้เช่าตึกซิโนไทย
แล้วตั้งคำถาม ว่ารู้จักกัน? หรือไม่รู้จัก? หวังแอบอ้าง หวังรู้จัก
ไม่ได้เป็นการปรักปรำอะไรเลย
เป็นเรื่องปกติที่สังคมจะต้องสงสัย โผล่มาเช่าตึกได้ไง
เป็นหน้าที่ซิโนไทย ต้องชี้แจง เคลียร์ข้อข้องใจ
แต่กลับไปแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท
คดีแบบนี้ ผู้ถูกแจ้งถูกฟ้องปิดปาก ควรจะเอาผิดกลับได้ แต่กฎหมายไทยปล่อยให้คดีหมิ่นเป็นเครื่องมือปิดกั้น

THE STANDARD 
15 hours ago
·
UPDATE: ซิโน-ไทย และ เอ็ชทีอาร์ ส่งทนายแจ้งความ ‘ศุภณัฐ-รักชนก’ หมิ่นประมาท โพสต์โยงให้บริษัทสแกมเมอร์เช่าที่ตึก พร้อมให้ทุกหน่วยงานเข้าตรวจสอบ
.
วันนี้ (20 ตุลาคม) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ออกข้อความชี้แจงกรณีปรากฏบุคคล แสดงความคิดเห็นประเด็น ‘เครือข่ายสแกมเมอร์’ เชื่อมโยงที่ตั้งสำนักงานอยู่ ‘อาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์’ สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร โดยมีเนื้อหาดังนี้
.
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับกรณี ‘เปิดที่ตั้ง บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อยู่อาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์’ ซึ่งได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง และมีการแสดงความคิดเห็นในหลากหลายช่องทาง รวมถึงมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือข้อมูลเพียง บางส่วน ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อการประกอบกิจการชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรนั้น
.
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในนามของผู้กำกับดูแลบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ผู้รับผิดชอบดูแลอาคารฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า บริษัทฯ มิได้มีความเกี่ยวข้องในการประกอบกิจการใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม กับ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือเครือข่ายการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอันผิดกฎหมายใดๆ ทั้งนี้ เพื่อปกป้องสิทธิและชื่อเสียงของบริษัทฯ จากการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจเข้าข่ายบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง
.
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)และบริษัท เอช ที อาร์ จำกัด จึงได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอสงวนสิทธิในการดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติมในอนาคต หากพบว่ามีการแสดงความเห็นหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือมีการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิหรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทฯ
.
บริษัทยังระบุด้วยว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเพื่อให้สาธารณชนเกิดความมั่นใจและคลายข้อสงสัยในกรณีดังกล่าว
.
ล่าสุดมีรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ได้ส่งทนายไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวน ที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีกับ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ และ รักชนก ศรีนอก ซึ่งเป็น สส. กทม. ของพรรคประชาชน ที่ได้มีการโพสต์ข้อความกล่าวถึง บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งจดทะเบียนที่ตั้งที่อยู่อาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ โดยมีลักษณะเป็นการกล่าวหาว่าซิโน-ไทย มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
.
สำหรับโพสต์ดังกล่าวเป็นเนื้อหาในเฟซบุ๊กของ ศุภณัฐ ที่ได้เผยแพร่เมื่อ 17 ตุลาคม หลังจากนั้น รักชนก ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าวด้วย
https://www.facebook.com/photo?fbid=1167892688803406&set=a.586524703606877
·
บีบีซีไทยเดินทางไปยังสำนักงานของ บจก.ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และมีโอกาสได้ฟังคำชี้แจงจากตัวแทนบริษัทฯ พวกเขายืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับเครือปรินซ์ โฮลดิง กรุ๊ป (ปรินซ์กรุ๊ป) ของนายเฉิน จื้อ
.
แต่ทางบริษัทฯ ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรทางการค้ากับบริษัท บจก.ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในไต้หวัน และทำธุรกิจเป็นนายหน้า เพื่อหาผู้ไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเครือบริษัทปรินซ์ โฮลดิง กรุ๊ป ในกัมพูชา
.
อ่านข้อชี้แจงทั้งหมดได้ที่ https://bbc.in/4ot1pxC



“แหล่งอาชญากรรม”เพื่อนบ้าน กับบทบาทของไทย ในมุมมองของ “เจสัน ทาวเวอร์” ผู้เชี่ยวชาญต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ


สำนักข่าวชายขอบ
20 hours ago
·
“แหล่งอาชญากรรม”เพื่อนบ้าน
กับบทบาทของไทย
ในมุมมองของ “เจสัน ทาวเวอร์” ผู้เชี่ยวชาญต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ
-----------
ภาสกร จำลองาช
-----------
เจสัน ทาวเวอร์ (Jason Tower) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส โครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Global Initiative Against Transnational Organized Crime – GI-TOC) ซึ่งเป็นผู้นำในการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการเกิด“เขตอาชญากรรม” ที่เป็นศูนย์กลางของขบวนการหลอกลวงขนาดอุตสาหกรรมทั่วภูมิภาค

ผลงานเจาะลึกของเจสันเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ อาชญากรรมในคาสิโน เศรษฐกิจผิดกฎหมาย และความขัดแย้งในพม่า ถูกนำมาเผยแพร่ในสื่อมากกว่า 100 แห่งทั่วโลก และเขายังเคยให้การต่อรัฐสภาสหรัฐฯ หลายครั้งในประเด็นเหล่านี้

ก่อนหน้านี้ เจสันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการประจำประเทศพม่าของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ (United States Institute of Peace) และเคยดำรงตำแหน่งอาวุโสในองค์กร PeaceNexus และ American Friends Service Committee และเป็นนักวิจัยรับเชิญประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สถานการณ์การการสู้รบและเผชิญหน้ากันระหว่างไทยและกัมพูชาเรื่องเส้นเขตแดน ได้พัฒนาสู่ประเด็น “แหล่งอาชญากรรม” ข้ามชาติ และขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงทางออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นรากเหง้าปัญหาที่แท้จริงของความขัดแย้งระหว่างคนระดับผู้นำ 2 ตระกูลที่ใช้ชาติบ้านเมืองเป็นเครื่องมือ

ปัจจุบันทั่วโลกกำลังจับตามองการแก้ไขปัญหาแหล่งอาชญากรรมในกัมพูชา หลายประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ เกาหลีใต้ ไประกาศตัวเดินหน้าปราบปรามแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ขณะที่แผ่นดินไทยซึ่งถูกใช้เป็นระเบียงอาชญากรรม คือเป็นพื้นที่ทางผ่านเดินทางข้ามไปสู่แหล่งอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้าน แถมยังเป็นสถานที่หลบซ่อนของเหล่ามาเฟียจีน ตลอดจนเป็นแหล่งฟอกเงินใหญ่ให้เครืออข่ายอาชญากรรมกลุ่มนี้ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยที่มีอนุทิน ชาญวีระกูล เป็นนายกรัฐมนตรีถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่มีความกระตือรือร้นในการทลายขบวนการอาชญากรกลุ่มนี้เท่าที่ควร

ความสลับซับซ้อนของปัญหาแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติที่พัวพันไปถึงความมั่นคงของชาติ และกำลังกลายเป็นสนามห้ำหั่นระหว่างมหาอำนาจคือจีนและสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งและท้ายทายมากสำหรับประเทศไทย

“ผมคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ไทยต้องออกมานำให้ได้” เจสัน ทาวเวอร์ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ”ถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ “ตอนนี้ไทยมีโอกาสที่จะสร้างความพยายามระดับภูมิภาคในการทลายธุรกิจอาชญากรรมเหล่านี้ เพราะทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร กำลังทำเรื่องนี้ ไทยจะร่วมดำเนินการได้อย่างไร”

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ หรือ DOJ (Department of Justice) ได้ยึดบิตคอยน์กว่า 127,271 เหรียญ มูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกระเป๋าเงินคริปโตฯ ของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวโจกขบวนการหลอกลวงขนาดใหญ่แบบ “Pig Butchering” ที่มีฐานอยู่ในกัมพูชา เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักรที่ได้ประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายธุรกิจ อายัดทรัพย์และยื่นฟ้องดำเนินคดี เพื่อปราบขบวนการหลอกลวงระดับโลกนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่ไทยต้องแบกรับแรงกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“มีความจำเป็นมากๆ ที่จะต้องตามเรื่องเส้นทางการเงิน คืนเงินให้ผู้เสียหาย ปิดกั้นการทำอาชญากรรมในอนาคต อย่าให้เป็นรัฐสแกมเหมือนที่อื่นๆ ที่อาชญากรสแกมสามารถมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลได้ ไทยในฐานะแนวหน้าของภูมิภาคเป็นผู้นำได้ในการนำเพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อประเทศไทยเองและเชื่อมพม่า ลาว กัมพูชา ให้พวกอาชญากรรมนี้หยุดใช้ไทยเป็นทางผ่าน วนไปมา 3 ประเทศผ่านไทย” ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านอาชญากรรมรายนี้ แสดงทรรศนะ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอแนะสำหรับสถานการณ์ที่ไทยกำลังเผชิญ

“หากไทยยุติเส้นทางเหล่านี้ และสามารถเปิดประตูโดยการเพิ่มความร่วมมือกับนานาชาติ และตำรวจสากล โดยเปิดศูนย์ให้ตำรวจจากประเทศต่างๆ เข้ามาทำงานร่วม ไทยจะเป็นผู้นำที่สามารถสนับสนุนงานยุติอาชญากรรมนี้ได้แน่นอน” เจสันแสดงความเชื่อมั่น

ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส โครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ อธิบายว่า พวกจีนเทาได้ทำงานรอบๆ ประเทศไทย ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา ตลอดแนวชายแดนแทบทั้งหมดได้กลายเป็นฐานของธุรกิจสแกม กลุ่มอาชญากรที่ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ สร้างแหล่งอาชญากรรมนับร้อยๆ แห่งตามชายแดน 3 ประเทศนี้ เครือข่ายอาชญากรรมสามารถเข้าถึงรัฐในประเทศเหล่านั้น และได้รับการหนุนจากรัฐบางประเทศ

“ประเทศไทยถูกล้อมด้วยธุรกิจสีดำ ที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) ธุรกิจนี้เข้ามามีอิทธิพลในไทยและรัฐไทย พวกเขาใช้ทรัพยากรไทย พยายามเอาเงินทุนมาใส่ในประเทศไทย”

เจสันกล่าวด้วยว่า การที่สหรัฐฯและสหราชอาณาจักรดำเนินการอายัดทรัพย์และประกาศปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติกลุ่มนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติ และไม่เคยเกิดการยึดทรัพย์มากขนาดนี้มาก่อน เกี่ยวกับคริปโต

“ทั้งสองประเทศแสดงออกชัดว่าต้องการหยุดเรื่องนี้ทันที ดังนั้นควรจะเป็นโอกาสที่ไทยได้จัดการปัญหานี้ ก่อนหน้านี้มีคณะทำงานปราบปรามที่ชายแดน แต่ยังไม่สามารถรับมือปัญหาที่สลับซับซ้อนกว่านั้น ผู้นำตำรวจและทหารไทย ได้พยายามแก้ปัญหาชายแดนพม่า และกัมพูชา แต่เป็นเพียงการตั้งรับ ไม่ใช่งานเชิงรุกที่จะจัดการเครือข่ายอาชญากรที่ใหญ่มากครั้งนี้ได้อย่างไร”

ผู้เชี่ยวชาญการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติยังเสนอแนะว่า ไทยควรดูว่าจะร่วมมือกับอเมริกาและสหราชอาณาจักรได้อย่างไร โดยต้องพัฒนายุทธศาสตร์เพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้ให้ได้

“เป็นเรื่องช็อกมากที่ถล่มเศรษฐกิจสแกมที่กัมพูชา ของธุรกิจกลุ่ม Prince เราเห็นคนแห่ไปถอนเงินที่ธนาคารของ Prince เห็นคนมากมายหนีออกจากแหล่งอาชญากรรมในกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาก็เหมือนอยู่ตรงทางแยก เพราะทั้งสหรัฐ สหราชอาณาจักร กำลังรุกแก้ปัญหานี้อย่างรุนแรง ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก กัมพูชาจะเลือกระหว่างปกป้อง Prince Group หรือแก้ปัญหานี้กับนานาชาติ หากไทยเข้าร่วมการยุติปัญหานี้อย่างเป็นยุทธศาสตร์ เล่นบนนำทำงานในอาเซียน ถือว่าเป็นโอกาสของไทย”

Prince Group เป็นธุรกิจของนายเฉินจื้อ นักธุรกิจเชื้อสายจีนที่กำลังถูกตรวจสอบจากหลายฝ่าย และสหรัฐฯได้สั่งอายัดทรัพย์ ซึ่งได้สร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าสแกมเมอร์ในกัมพูชา และกลายเป็นผึ้งแตกรังเมื่อคืนวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าประชาชนรแห่ไปถอนเงินในธนาคารบางแห่งเนื่องจากไม่มั่นในสถานการณ์

เมื่อถามถึงการเชื่อมโยงระหว่างแหล่งอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้านกับเครือข่ายในประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าวว่า อาชญากรเหล่านี้เดินทางเข้าออกไทยได้ตลอดเวลา พวกเขามาใช้ทรัพยากรในไทยดำเนินการกับแหล่งอาชญากรรมที่ชายแดน ไทยเป็นฐานและเป็นทางผ่าน มีการรับสมัครงานผ่านประเทศไทย คนมากมายจากหลายสิบประเทศสมัครงานโดยผ่านประเทศไทยส่งต่อไปยังแหล่งอาชญากรรม ยากที่หน่วยงานรัฐจะจัดการได้ง่ายๆ และยังมีการพึ่งพาทางการเงินที่เข้ามาในประเทศไทย

“เงินมหาศาลที่ไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ เราก็เห็นว่ามีธุรกิจที่ไม่ลงทะเบียน บริการแลกเปลี่ยนคริปโต เต็มเมืองไปหมด ในกรุงเทพฯด้วย กลายเป็นแหล่งการเงิน ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่เกิดที่สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ หลายแห่งในภูมิภาค แต่ธุรกิจสีดำนี้ตั้งอยู่รอบๆ ประเทศไทย และไทยกลายเป็นแนวหน้า ซึ่งไทยต้องได้รับผลกระทบจากเงินสีดำที่เข้ามา รวมถึงการหลอกคนเข้ามาเพื่อไปแหล่งแสกม ใช้ไฟฟ้าไทย อินเตอร์เนต แทบทุกอย่างของไทย”

ที่ผ่านมามีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบเส้นทางการเงินของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้เพราะเชื่อว่าทำให้สาวไปถึงขบวนการต้มตุ๋นกลุ่มนี้ ซึ่งเจสันเห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะทั้งสหรัฐฯและสหราชอาณาจักรก็ใช้วิธีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน หลายประเทศมีบทเรียนแล้ว ว่าเงินที่หลอกเอาไปนั้นไปอยู่ที่ไหน รัฐบาลสองประเทศสามารถตามเงินกลับมาได้เยอะมาก

“ที่สหรัฐฯเอาคืนมาได้อาจสูงถึงหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ(ราว 9.7 แสนล้านบาท) คิดดูว่าหากตำรวจไทยติดตามว่าใครทำธุรกิจนี้ เอาเงินไปที่ไหนบ้าง ทั้งทรัพย์สิน คริปโต เชื่อว่าจะสามารถตามเงินคืนให้คนไทยที่ถูกหลอกลวงได้ระดับหนึ่ง สหรัฐฯ และ สหราชอาณาจักร ปฏิบัติการโดยติดตามเงิน เขาทำจริงอย่างเป็นระบบ มีเอกสารครบทุกอย่าง เห็นเส้นทางการเงิน คือเงินเยอะมาก การสืบสวนเข้มข้น ว่าในภูมิภาคนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องเศรษฐกิจด้วย หากตามจริงๆในที่สุดก็น่าจะทำได้ สามารถช่วยปกป้องประเทศไทยได้มาก”

เมื่อถามถึงบทบาทของจีนซึ่งหลายครั้งเห็นถึงท่าทีจริงจังในการปราบปรามอาชญากรชาวจีนที่หลอกลวงคนทั่วโลก แต่อีกด้านหนึ่งทางการจีนกลับจับมืออยู่กลุ่มอำนาจในประเทศเพื่อนบ้านที่เชื่อมโยงอยู่กับแหล่งอาชญากรรม

“เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ทางหนึ่งคงจะไม่เกิดเลยที่ชายแดนจีนพม่า หากมีเจ้าหน้าที่จีนไม่มาเกี่ยวข้อง แหล่งสแกมทั้งหลาย เช่น เมืองใหม่หย่าไท่ ชเวก๊กโก่ ที่ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ก็สร้างโดยบริษัทรัฐวิสาหกิจจีน เครือข่ายจีนที่ทำงานธุรกิจสีดำขยายออกมานอกประเทศ เพื่อก่ออาชญากรรมเมื่อ 2-3 ทศวรรษที่แล้ว แรกสุดหลอกเอาเงินมากมายจากคนจีน จนกระทั่งช่วงโควิดจึงมีการทลายธุรกิจนี้”

นักวิจัยผู้นี้กล่าวต่อไปว่า อาชญากรชาวจีนได้เข้ามาเปิดแหล่งอาชญากรรมในพม่า ทำเรื่องชั่วร้าย คนรู้กันทั่ว ทางการจีนก็อยากเล่นบทแก้ปัญหาเพราะเป็นเรื่องน่าอับอายมาก ตอนนั้นทางการจีนสั่งให้ทหารพม่าปิด แต่ทหารพม่าไม่ทำตาม เพราะแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้ให้เงินทหารพม่าเยอะ จนกระทั่งทางการจีนตัดสินใจให้กองกำลังฝ่ายต่อต้านเข้าไปเคลียร์เมื่อปลายปี 2023 ซึ่งกองกำลัง 3 พี่น้อง (The Brotherhood Alliance) ทำให้คนจีนเป็นหมื่นๆ ต้องหนีกันกระเจิง จีนสั่งประหารตัวหลักที่หลอกลวงคนจีน ทำให้พวกธุรกิจดำของจีนพวกนี้หนีไป ไม่หลอกคนจีนแล้ว

“เมื่อปิดแหล่งอาชญากรรมที่ชายแดนจีนได้แล้ว จีนให้กองกำลังฝ่ายต่อต้านปฏิบัติการทลายแหล่งสแกม จีนจึงเห็นว่ารัฐบาลทหารพม่านั้นเปราะบางแค่ไหน จนเกือบจะถูกฝ่ายต่อต้านยึดประเทศได้แล้ว บุกลงมาถึงมัณฑะเลย์ จีนจึงเข้ามาแทรกแซงเพื่อไม่ให้พม่าล้ม หากรัฐบาลพม่าพังลงไป จีนจะทำงานกับใคร จะจัดการเศรษฐกิจ โครงการลงทุน ท่อก๊าซ ฯลฯอย่างไร

“จีนต้องการใช้พม่าเป็นประตูออกไปสู่มหาสมุทรอินเดีย จึงหันมารักษาทหารพม่าไว้ กดดันไทยให้ช่วยจัดการเรื่องชายแดน เพื่อปกป้องประโยชน์ของจีน จีนอยากเข้าประตูหลังผ่านไทย เข้าไปปราบพวกสแกมที่หลอกคนจีน น่าสนใจคือขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของจีนข้าม (จาก อ.แม่สอด) ไปฝั่งเมียวดี แต่กลับไม่ได้ไปไกลเหมือนที่ทำที่โกก้าง แค่ไปจับกุมเอาอาชญากรกลับมา ไม่เอาชิตตู(ผู้นำกะเหรี่ยง BGF)หรือผู้นำกองกำลังคนอื่นๆเลย ไม่เหมือนที่โกก้าง คือกดดันให้ไทยช่วย ไทยจะจัดการเรื่องชายแดนพม่าอย่างไร แค่นี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่าจีนปกป้องคนจีน และไม่ทำลายทหารพม่า”

เจสันกล่าวว่า หากมีหลักฐานในจีนว่าหลอกลวงคนจีนก็จะโดนตำรวจตามได้และโดนจับ พวกมาเฟียจีนจึงหันไปหลอกชาติอื่น “เชือดหมูต่างชาติ” คือตอนนี้ไม่ทำกับคนจีนแล้ว แต่ทำกับคนชาติอื่นๆ ไม่หลอกคนจีน แต่หลอกคนสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดียฯลฯ ซึ่งมันก็คืออาชญากรรมอยู่ดี เพียงแค่รักชาติมาก ไม่หลอกคนจีนแน่นอน ดังนั้นทางการจีนก็อาจจะไม่สนใจแล้ว หรือหากประเทศที่โดนหลอกลวงเหล่านั้นมาขอความช่วยเหลือจากทางการจีน เขาก็พยายามใช้กรอบ Global Security Initiative เป็นโยบายของจีนที่ใช้ความมั่นคงเป็นธงนำ

“จีนเลือกที่จะปิดบางแห่ง เหมือนกรณีนี้ตำรวจจจีนติดตาม Prince Group มาหลายปี ดูคาสิโนที่มีทุนนี้คุมอยู่ ไม่รู้เหตุผลใดจีนได้หยุดตามไปเลย จนเวลานี้ที่สหรัฐฯและสหราชอาณาจักรเข้ามา เหมือนเป็นการแข่งขันระหว่างประเทศ เมื่อจีนทำไม่สำเร็จเพราะ Prince Group ใหญ่เกินไป ขนาดว่าหากพัง เศรษฐกิจกัมพูชาก็พังเช่นกัน อาจเพราะกัมพูชาเป็นลูกน้องจีน ทำให้จีนไม่เข้าทำ” เจสันวิเคราะห์บทบาทของจีน

“การปราบปรามครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มากของรัฐบาลกัมพูชา ตอนนี้จีนก็เหมือนกำลังอิจฉาว่าสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรเข้ามาปราบปรามได้ ซึ่งจีนน่าจะได้แสดงบทนี้มาก่อนแล้วตั้งหลายปีแล้ว เพราะจะทำก็คงทำได้ และเรื่องนี้คงกระทบภาพลักษณ์ของจีนในกัมพูชา จึงต้องจับตามองกันต่อไป”

ชะตากรรมของผู้นำพม่าที่ต้องสยมยอมรัฐบาลจีน ขณะที่รัฐบาลกัมพูชานั้นอยู่ภายใต้อาณัติของจีนจนแทบกลายเป็นมณฑลหนึ่งของจีนไปแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อไทยและกัมพูชาต้องเผชิญหน้ากัน ทำให้เป็นเงื่อนไขหนึ่งหรือไม่

“จีนไม่น่าจะจัดไทยอยู่หมวดนั้น เพราะประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ มีความมั่นคง และการเมืองที่โตแล้ว มีสถานะในเวทีนานาชาติ ต่างไปจากสองประเทศนั้น ไทยทำในสิ่งที่ตนต้องการได้ แต่พม่าไม่มีความสามารถ ไม่มีการทูตที่จะสู้หรือปฏิเสธได้เลย รัฐบาลทหารพม่าตอนนี้ต้องพึ่งพาจีน และมินอ่องหลาย(ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า)ก็รู้ว่าจีนไม่อยากให้พม่าล่มสลาย

สำหรับกัมพูชานั้น เจสันให้ข้อมูลว่า พวกสแกมมีตำแหน่งในรัฐบาล เป็นที่ปรึกษาใหญ่ๆ เศรษฐกิจกัมพูชาต้องพึ่งพาธุรกิจสแกม และต้องพึ่งจีนในทางการทูต เศรฐกิจชนชั้นนำของกัมพูชาพึ่งพาธุรกิจสแกม รัฐบาลกัมพูชานั้น หากจีนต้องการอะไรให้ได้หมด แต่การปราบปรามสแกมนี้ก็ต้องห่วงเพราะต้องปกป้องเศรษฐกิจ จะมีการแลกเปลี่ยนอย่างไร

“ประเทศไทยมีความสามารถ ไม่ต้องทำตามคำสั่งทางการเมืองของจีนแบบกัมพูชาและพม่า สิ่งหนึ่งไทยทำได้คือเรียนรู้ว่าทางการเมืองนั้น เพื่อนบ้านต่างอยู่ในวังวนสแกมที่มาจากจีน ถูกจีนยึดทางการเมืองได้อย่างง่ายดาย และไม่มีสถานะต่อจีนเลย”

สถานการณ์ของประเทศไทยที่กำลังเผชิญอยู่มีความสลับซับซ้อนยิ่ง แต่หากรัฐบาลไทยได้ผู้นำที่ชาญฉลาดและทำเพื่อส่วนรวมย่อมสามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ไม่ยาก ช่วงจังหวะนี้ประเทศไทยจะมีสีขาวสดใสขึ้นหรือเป็นพื้นที่สีเทาที่ขมุกขมัวไปเรื่อยๆ เป็นทิศทางที่เราเลือกได้
----------
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1445235217607282&set=a.504230311707782

นี่ไง สำนวน "ลดความเป็นไทย เพื่มความเป็นคน" เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้


Mirror Thailand
14 hours ago
·
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้กระแสชาตินิยมในไทยกำลังโหมรุนแรงจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และดูเหมือนว่าศัตรูของชาตินิยมในขณะนี้จะไม่ใช่เพียงชาติคู่ขัดแย้ง แต่ยังเป็นนักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
.
แน่นอนว่าในมุมของสิทธิมนุษยชน เราสามารถตั้งคำถามได้มากมายต่อรัฐกัมพูชา ตั้งแต่การกดขี่คนในชาติตัวเอง ปลุกปั่นกระแสชาตินิยมในประเทศตนและผลักให้คนไทยเป็นตัวร้ายในสายตาคนกัมพูชา จนถึงการเอื้อประโยชน์ให้กับแก๊งสแกมเมอร์ที่กดขี่และละเมิดสิทธิผู้คนหลายเชื้อชาติ และขณะเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถตั้งคำถามกับรัฐไทยรวมถึงวิธีการของไทยในการตอบโต้ต่อความขัดแย้งครั้งนี้ เช่นการให้เอกชนเข้าไปในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหลักในการอยู่ร่วมกันของสากลโลกและเป็นการปกป้องสิทธิของ ‘มนุษย์ทุกคน’ โดยไม่แบ่งแยก
.
และนักสิทธิมนุษยชนบางส่วน เช่นอังคณา นีละไพจิตร และสุณัย ผาสุข ก็ได้ออกมายืนยันถึงหลักการของสิทธิมนุษยชน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้คนจำนวนมากและแม้แต่สื่อกระแสหลักกลับมองว่าการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนนั้นไม่ต่างจาก “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” เพราะไม่ยอมโจมตี ‘ศัตรู’ หรือถึงขั้นมองว่าพวกเขาเป็น “คนไทยหัวใจเขมร” ที่ขายชาติทำเพื่อปกป้อง ‘ศัตรู’ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความเข้าใจสิทธิมนุษยชนผิดไปมากเพราะที่ผ่านมาการเรียกร้องสิทธิให้กับคนทั้งในไทยและนอกไทยก็เกิดขึ้นตลอดมาไม่ได้แบ่งแยกอยู่แล้ว อีกทั้งการรักชาติก็สามารถมาในรูปแบบการเรียกร้องให้ชาติเคารพหลักการของมนุษยชนเพื่ออยู่ร่วมกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียม
.
หากแต่กระแสชาตินิยมครั้งนี้ได้ผลักให้ผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม ตัวของอังคณาและสุณัยเองถูกข่มขู่ คุกคาม และต้องเผชิญกระแสเกลียดชังมากมายทางออนไลน์ จนต้องร้องขอการยืนยันความปลอดภัยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
.
โอกาสนี้เราจึงอยากลองชวนไปดูกันว่า อะไรบ้างที่ทำให้แนวคิดชาตินิยมมักไปด้วยกันไม่ได้กับหลักสิทธิมนุษยชน เพราะสิ่งนี้กำลังชัดเจนขึ้นในหลายๆ ประเทศไม่ใช่เพียงประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตาและน่ากังวลทีเดียวกับทิศทางของโลกในอนาคต
.
1. เพราะจุดศูนย์กลางต่างกัน ชาตินิยมวาง ‘ชาติ’ เป็นจุดศูนย์กลาง สิทธิมนุษยชนวาง ‘มนุษย์’ เป็นศูนย์กลาง
.
ชาตินิยมมองว่าชาติคือสิ่งสูงสุด ทุกอย่างต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติหรืออำนาจหลักของชาติ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตหรือศักดิ์ศรีของคนบางกลุ่มก็ตาม ขณะที่สิทธิมนุษยชนยืนยันว่า ‘มนุษย์ทุกคน’ คือศูนย์กลางของคุณค่า ไม่ว่ามาจากชาติ ศาสนา หรือเชื้อชาติใด การเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงต้องมาก่อนผลประโยชน์ทางการเมืองหรือพรมแดนของรัฐ
.
2. เพราะชาตินิยมให้ความสำคัญกับการ ‘ขีดเส้นพรมแดน’ ขณะที่สิทธิมนุษยชนนั้น ‘ข้ามเส้นพรมแดน’
.
ชาตินิยมสร้างเส้นแบ่งระหว่าง ‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ ระหว่างคนในชาติและคนนอกชาติซึ่งอิงกับพื้นที่กำเนิดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถเลือกได้ แต่สิทธิมนุษยชนปฏิเสธเส้นแบ่งนั้น เพราะศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรมแดน ไม่ว่าความเจ็บปวด ความสูญเสีย หรือการถูกละเมิดจะเกิดขึ้นที่ไหน มันคือเรื่องของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ตอบโจทย์กระแสชาตินิยมอย่างรุนแรง
.
3. เพราะชาตินิยมต้องการความเป็น ‘เอกภาพ’ ขณะที่สิทธิมนุษยชนสนับสนุน ‘ความเป็นปัจเจก’
.
ชาตินิยมเรียกร้องให้ทุกคนคิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน รักและเกลียดสิ่งเดียวกัน เพื่อสร้าง ‘เอกภาพของชาติ’ แต่สิทธิมนุษยชนยืนอยู่บนหลักว่า ความเป็นปัจเจกที่หลากหลายคือรากฐานของสังคมเสรี มนุษย์มีสิทธิที่จะคิดต่าง พูดต่าง และใช้ชีวิตในแบบของตนได้โดยไม่ถูกตีตราว่า “ไม่รักชาติ” การปกป้องเสรีภาพของปัจเจกจึงไม่ใช่การทำลายชาติ แต่คือการทำให้ชาติเข้มแข็งด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
.
4. เพราะชาตินิยมมักกำหนด ‘ศัตรูของชาติ’ ซึ่งบางครั้งก็ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
.
ในเมื่อชาตินิยมต้องมี ‘ศัตรู’ เพื่อสร้างความสามัคคีภายใน คนที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติ ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่นักสิทธิมนุษยชน จึงถูกทำให้เป็นเป้าของความเกลียดชัง ทั้งที่ในความเป็นจริง การปกป้องสิทธิมนุษยชนคือการปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่การเข้าข้างฝ่ายใด
.
5. เพราะการตั้งคำถามกับวิธีการของรัฐมักถูกเหมาว่าเป็นการ ‘ทรยศต่อชาติ’ และเป็นภัยต่อความมั่นคง
.
ในช่วงเวลาที่กระแสชาตินิยมเข้มข้นรุนแรง การวิพากษ์หรือตั้งคำถามต่อรัฐ แม้จะเป็นไปเพื่อความยุติธรรมมักถูกตีความว่า “ไม่รักชาติ” ทั้งที่การตรวจสอบอำนาจรัฐคือหัวใจของสังคมประชาธิปไตย และเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ดูเหมือนว่าทิศทางของโลกในช่วงเวลานี้และอาจจะในอนาคต กำลังมองว่าการเอา ‘ชาติ’ ตัวเองให้มั่นคงอยู่รอดส่วนคนอื่นไม่สำคัญนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง ที่สุดแล้วก็อาจนำไปสู่การแบ่งแยกอย่างไม่มีสิ้นสุด และจำต้องมีคนที่ถูกเหยียบย่ำกดขี่อยู่เสมอเพียงเพราะเป็นอื่น ซึ่งหากจะมองว่าเป็นการก้าวถอยหลัง ก็คงจะไม่ผิดเสียทีเดียว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1432942602170840&set=a.728937272571380



อย่าประมาทเฉพาะแต่แก๊งสแกมเมอร์ ในขณะเดียวกัน ไทยเทาอาจน่ากลัวกว่าที่คิด : อาจมี“คนสีเทา” ในไทยอำนวยความสะดวก ส่งออกทอง ไปกัมพูชา ปี 67 เพิ่มขึ้น 743% อีก 19% ใน 7 เดือนแรก 68


ประชาคมแพทย์
October 18
·
อย่าประมาทแก๊งสแกมเมอร์: เมื่อ “ทองคำ” กลายเป็นกำแพงสุดท้ายที่แข็งแกร่งกว่า Bitcoin และ อาจมี“คนสีเทา” ในไทยอำนวยความสะดวก ไทยส่งออกทอง ไปกัมพูชา ปี 67 เพิ่มขึ้น 743% และปี 68 ก็ยังเพิ่มขึ้น อีก 19% ใน 7 เดือนแรก

1.การที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศ ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท จากเครือข่ายสแกมเมอร์ที่มีฐานในกัมพูชา อาจดูเหมือนเป็นชัยชนะของโลกที่เริ่มเอาชนะอาชญากรรมไซเบอร์ได้ แต่สำหรับผู้รู้ในภูมิภาคนี้ — นั่นอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น เพราะในโลกจริงที่เงินหมุนด้วยโลหะสีทอง ไม่ใช่โค้ดดิจิทัล — ทองคำ กำลังกลายเป็นช่องทางฟอกเงินที่ซับซ้อนและยากจับได้ที่สุด

และที่น่าห่วงกว่านั้นคือ เส้นทางของทองคำเหล่านี้ ไหลผ่านประเทศไทยไปยังกัมพูชาอย่างผิดสังเกต — ภายใต้เงาของ “นักการเมืองสีเทา” และกลุ่มอิทธิพลที่ยังคงมีอำนาจอยู่ในระบบการเมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้

2.“ทองคำไหล” สู่กัมพูชา: สัญญาณเตือนจากตัวเลขที่ไม่ปกติ

ข้อมูลจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า การส่งออกทองคำจากไทยไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต —
ปี 2566 มีมูลค่า 12,562 ล้านบาท
ปี 2567 พุ่งขึ้นเป็น 105,982 ล้านบาท หรือ ขยายตัวกว่า 743.66%
และใน 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 71,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีก 19.15%

ตัวเลขเหล่านี้ทำให้กัมพูชากลายเป็นตลาดส่งออกทองคำ อันดับ 2 ของไทย รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยสัดส่วนกว่า 28.05% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

นักเศรษฐศาสตร์บางรายเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ทองคำไหล” — กระแสที่อาจซ่อน “รอยเท้าของการฟอกเงิน” ไว้เบื้องหลัง กลไกเริ่มจากการหลอกลวงเหยื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนแปรเงินสกปรกให้กลายเป็นทรัพย์สินสะอาดผ่านการซื้อขายทองคำข้ามประเทศ

3.เราขอให้ข้อสังเกตว่า ในปี 2567 รัฐบาลไทยยังอยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย โดยมีผู้นำรัฐบาลซึ่งเป็นแกนนำจากพรรคเดิม และในช่วงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ สมเด็จฮุนเซน ยังไม่ถึงจุดแตกหัก ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ระหว่างสองประเทศจึงยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

แม้ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาจะเริ่มตึงเครียดมากขึ้น แต่ตัวเลขการส่งออกทองคำก็ยังคง ขยายตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน — สะท้อนว่า “สมการแห่งอำนาจ” ระหว่างสองประเทศยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และอาจยังมี “เครือข่ายผู้มีอำนาจบางกลุ่ม” ที่สามารถรักษาช่องทางการเคลื่อนย้ายทองคำระหว่างไทย–กัมพูชาไว้ได้

4.ทำไมต้องทองคำ?

ทองคำเป็น สินทรัพย์ไร้ร่องรอย ติดตามยากกว่า Bitcoin หรือเงินดิจิทัล

เมื่อเงินจากการหลอกลวงถูกแปลงเป็นเงินบาทในไทย แล้วนำไปซื้อทองคำแท่ง การส่งออกทองคำต่อไปยังกัมพูชาในรูปแบบ “ถูกกฎหมาย” จึงกลายเป็นกระบวนการ เปลี่ยนเงินสกปรกให้ขาวสะอาด อย่างแนบเนียน

ที่สำคัญ ราคาทองคำที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องยังทำให้ผู้ฟอกเงิน “ได้กำไรเพิ่ม” จากอาชญากรรมของตนเอง

5.Bitcoin ถูกยึดอาจไม่สะเทือน…ถ้าทองคำยังทำกำไรได้

แก๊งสแกมเมอร์ระดับโลก โดยเฉพาะเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับ “ทุนสีเทา” ในภูมิภาคนี้ อาจเตรียมรับมือกับการยึด Bitcoin ไว้ล่วงหน้าแล้ว พวกเขาอาจกระจายทรัพย์สินไปอยู่ในรูปของทองคำ ซึ่งไม่เพียง “ฟอก” ได้สะอาดกว่า แต่ยัง “กำไร” เพิ่มขึ้นด้วย

เมื่อราคาทองคำโลกทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เงินที่เคยเป็น “สินทรัพย์ผิดกฎหมาย” จึงกลายเป็น “ทุนที่แข็งแกร่งกว่าเดิม” — และนี่คือเหตุผลว่าทำไม อิทธิพลของทุนสีเทาในกัมพูชาและไทยจึงยังไม่สั่นคลอนมากนัก แม้จะมีข่าวการยึดคริปโตระดับ 4-5 แสนล้าน

6.เงานักการเมืองสีเทา: จุดเชื่อมระหว่างอาชญากรรมข้ามชาติและอำนาจในประเทศ

คำถามที่คนไทยต้องกล้าถามคือ — การส่งออกทองคำมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยไม่มีใครมองเห็น? และ ผู้นำรัฐบาลและ นักการเมืองน้อยคนที่พูดถึงเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคลัง แม้กระทั่ง รัฐมนตรีพาณิชย์ซึ่งควรจะมีหน้าที่พูดถึงเรื่องนี้ มีแต่ กกร.เท่านั้น ที่ออกมาให้ข้อสังเกตแล้วก็เงียบหายไป

7.คำตอบที่หลายฝ่ายเริ่มพูดออกมาคือ อาจมี “การอำนวยความสะดวก” จากบุคคลภายในประเทศ ทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองที่อยู่ในโซนสีเทา — กลุ่มที่มีบทบาทอยู่ทั้งในภาคการเมืองและเศรษฐกิจใต้ดิน

พวกเขาอาจไม่ได้ถือปืน แต่ถือ “ใบอนุญาตใต้ดิน” และ “เส้นสาย” ที่เปิดทางให้เครือข่ายทุนสีดำข้ามชาติทำธุรกิจผ่านระบบการเงินไทยได้อย่างราบรื่น — และผลลัพธ์คือประเทศไทยกำลังถูกใช้เป็น “จุดพักและฟอกเงิน” ของอาชญากรรมไซเบอร์เอเชีย

8.ผลกระทบไม่เพียงอยู่ในมิติอาชญากรรม แต่ยังส่งผลต่อ ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นผิดปกติ สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจจริง และทำให้ระบบการเงินไทยบิดเบือนโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากราว 8% และแข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปีนำค่าเงินภูมิภาค หากพิจารณาดัชนีค่าเงินบาทเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเ งินคู่ค้าและคู่แข่ง (NEER) พบว่าปรับแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าอย่างผิดปกติ และบิดเบี้ยวจากที่ควรจะเป็น จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างแน่นอน

8. หากยังปล่อยให้ ทองคำไหล ไปสู่ดินแดนแห่งสแกมเมอร์ มากผิดปกติ โดยไม่มีมาตรการ ที่รัดกุม อาจเกิดผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ นอกเหนือไปจาก ไทยอาจจะเสียชื่อจากการถูกใช้ให้มีส่วนทางอ้อมในการส่งเสริมและสนับสนุน อาชญากรรมระดับโลก

9.ถึงเวลาที่รัฐไทยต้อง “มองข้ามช็อต”

หากรัฐบาลไทยยังคงมองว่า “การที่สหรัฐยึด Bitcoin” คือการกวาดล้างสแกมเมอร์อย่างเสร็จสิ้นแล้ว และถือว่านั่นคือ “คำตอบสุดท้ายของปัญหา” — ก็นับว่าเป็นการ ประเมินศัตรูต่ำเกินไป

การอยู่นิ่งเฉย พร้อมใช้เพียงมาตรการตั้งรับ เช่น การอ้างว่าจะ “ไม่เปิดด่านกับกัมพูชา หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อ” — หนึ่งในนั้นคือการปราบปรามสแกมเมอร์ — ถือว่าเป็น มาตรการที่อ่อนเกินไปแล้ว

เพราะแม้การ “ไม่เปิดด่าน” อาจทำให้ กดดัน กัมพูชาในด้านเศรษฐกิจ และกดดัน ทุนสีเทาในกัมพูชาเรื่อง บ่อนพนัน จนไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาชญากรรม scammer ในกัมพูชา จะยุติลง ตรงกันข้าม พวกเขากลับ “ปรับรูปแบบ” ไปสู่การกระทำในสัดส่วนมากกว่าเดิม โดย ไม่พึ่งพา เส้นทาง แนวตะเข็บชายแดนไทยกัมพูชา — ไม่ว่าจะเป็น การค้ามนุษย์ จากชาติอื่นๆที่ยังไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง การฟอกเงิน หรือเครือข่าย Call Center — และที่น่ากังวลกว่านั้น คือการใช้ ทองคำ เป็น “ทุนหมุนเวียน” ที่ดูสะอาด ถูกกฎหมาย และ ยากต่อการติดตามในกรอบกฎหมายเดิม

หากท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีพาณิชย์ ต้องการสร้างชื่อเสียงในระยะเวลา ไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้ง นี่เป็นโอกาสดีโอกาสเดียว ที่จะแสดงความจริงใจและจะได้เสียงจากประชาชนมาก หาก ส่วนหนึ่งของแผนการจัดการ scammer ใช้วิธีปราบปรามเส้นทางการฟอกเงินของ scammer คือการทุบไปที่กล่องดวงใจ ของ แหล่งทุนหมุนเวียน นั่นคือสินทรัพย์สำคัญ ของ กระบวนการ "ทองคำ" นอกเหนือจากจะได้ผล ให้ประจักษ์ต่อนานาชาติแล้ว ยังจะสร้างความมั่นคง ในระบบเศรษฐกิจ ของการ ซื้อขายทองคำ ให้มีมาตรฐานในระดับนานาชาติ แม้ว่าระยะต้นอาจจะ ได้รับการต่อต้านจาก สมาคมผู้เกี่ยวข้อง ที่อาจจะชะลอ การเก็งกำไรของทองคำ แต่ระยะยาว จะมีผลต่อความมั่นคง และ เสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม

ข้อเสนอเชิงนโยบาย 5 ข้อเพื่อฟื้นฟูภูมิคุ้มกันรัฐไทย

1. ตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนพิเศษอิสระ” (Independent Gold Inquiry Commission)

เพื่อสอบสวนเส้นทางทองคำไทย–กัมพูชา โดยไม่อยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายบริหารหรือกลุ่มการเมืองใด

มีตัวแทนจากสำนักงาน ป.ป.ง., สตง., ธปท., และผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกเงิน, กฎหมาย, และจริยธรรม

รายงานผลต่อสาธารณะโดยตรง เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อระบบราชการไทย

---

2. ปรับปรุง กฎหมายควบคุมสินทรัพย์กายภาพ ให้เท่าทันยุคดิจิทัล

ทองคำควรถูกติดตามได้เช่นเดียวกับ Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัล

พัฒนาระบบ “Gold Trace & Verify Platform” ภายใต้การกำกับของ ETDA หรือ ธปท.

ใช้บล็อกเชนหรือระบบหมายเลขกำกับทองคำ เพื่อป้องกันการใช้ทองคำแท่งเป็นเครื่องมือฟอกเงิน

บังคับให้ผู้ส่งออกทองคำรายใหญ่ต้องเปิดเผย “Beneficial Owner” และผ่านการตรวจสอบ KYC ระดับสูง

---

3. จัดตั้ง ASEAN AML Taskforce คณะกรรมการร่วมกลุ่มประเทศอาเซียนต่อต้านการฟอกเงิน

เพื่อเฝ้าระวังและสกัดทุนสีดำข้ามชาติอย่างเป็นระบบ

ประสานข้อมูลกับหน่วยงานปราบฟอกเงินของกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และมาเลเซีย

ร่วมพัฒนาฐานข้อมูล “Cross-border Money Trail Database” สำหรับตรวจสอบการเคลื่อนย้ายทองคำ–คริปโต–อสังหาริมทรัพย์

---

4. สร้าง ระบบตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest Registry)

ในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตค้าทองและส่งออกทองคำ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องเปิดเผยความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

บันทึกข้อมูลในรูปแบบเปิด (Open Data) ให้ประชาชนเข้าถึงได้

แอดมิน ประชาคมแพทย์
19 ตค. 2568
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1224800616354795&set=a.552792040222326



อีกหนึ่งความเห็น คำถาม และข้อสังเกต รายการ คุยนอกจอ ของสรยุทธ


Wara Chanmanee
17 hours ago
·
วันนี้ดูรายการ คุยนอกจอ ของสรยุทธจนจบ ขอสรุปความเห็น คำถาม และข้อสังเกต ดังนี้
1. ไอซ์ รักชนก เก่งมาก จับจังหวะ ฉวยจังหวะ ได้เด็ดขาด ลงตัว ทันทุกเม็ด ตั้งคำถาม และลากเข้าประเด็นได้ครบทุกประเด็น โดยเฉพาะไม่หลุดประเด็นเรื่องสแกมเมอร์ ที่กันพยายามสะบัด จนในที่สุดกันต้องบอกว่ายินดีให้ความร่วมมือในการจัดการกับสแกมเมอร์ ขอให้ประชาชนจับตาดูว่า กัน จอมพลัง จะร่วมจัดการสแกมป์เมอร์จริงหรือไม่ โดยเขาสามารถทำได้เลย
2. กัน จอมพลัง พยายามอ้างการช่วยเหลือส่วนรวม หลังพิงอุดมการณ์ชาตินิยม เมื่อถูกตั้งคำถามนั่นนี่โน่น ก็พยายามโยงไปสู่การช่วยเหลือประชาชนที่ชายแดนและช่วยเหลือทหารตลอด แต่เมื่อถูกถามถึงธรรมนัสกลับอ้อมๆแอ้มๆ อ้างโน่นนั่นนี่ ทั้งๆ ที่เฟียสจัดในกรณี สว.อังคณา หรือคนอื่นๆ
3. สรยุทธ พยายามเป็นกลาง สร้างบาลานซ์ สรุปประเด็น และกำกับเวลาในการพูดคุยได้เป็นอย่างดี
คำถาม
1. กัน จอมพลัง เป็นใคร มีตำแหน่งหน้าที่อะไร ถึงมีสิทธิพิเศษในการไปปฏิบัติการต่างๆ ที่พื้นที่พิเศษชายแดน แม้จะอ้างว่าช่วยชาวบ้านและทหาร คำถามคือหน้าที่นี้ เป็นที่หน้าที่ของใคร ข้าราชการประจำ ทหาร และรัฐบาล ใช่หรือไม่ และหากมีบุคคลอื่นใดจะไปทำแบบ กัน จอมพลัง ทหาร รัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐจะอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกันหรือไม่
2. ข้าราชการ ทหาร รัฐบาล ที่เอื้อประโยชน์หรืออำนวยความสะดวกให้กัน จอมพลัง มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ (เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต)
ข้อสังเกต
1. กัน จอมพลัง เป็นอินฟลูฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มีอุดมการณ์ชาตินิยม และใช้อุดมการณ์นั้นในการสร้างความเชื่อความศรัทธาที่จะทำงานสาธารณกุศล โดยจะกล่าวว่า กัน เป็นกระบอกเสียงหรือเซเลบของฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ว่าได้
เมื่อกันได้รับความนิยมจากประชาชน นอกจากช่วยเหลือประชาชนแล้ว เขาพูดอะไรก็จะมีคนเชื่อชนิดที่ไม่ต้องฟังเหตุผล แม้กระทั่งเขาโจมตี สว.อังคณา หรือชี้หน้าด่าใครว่าไม่รักชาติ เป็นนักการเมืองฝ่ายกัมพูชา หรือแม้กระทั่งเขาจะใช้สถานภาพโจมตีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเช่น พรรคส้ม ก็ย่อมมีมวลชนไหลตาม กันจึงถือว่าเป็นคานดีดงัด (Leverage) ทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกคนหนึ่ง นอกจากบุ๋ม ปนัดดา ซึ่งเคยพลาดท่าไปแล้ว
ดังนั้นการมีอยู่ของกัน จึงเป็นประโยชน์และได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างไม่ต้องสงสัย จนต้องตั้งข้อสังเกตว่า กันคือนอมินีหรือเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ใช่หรือไม่
2. ปัญหาคือฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เป็นรัฐบาลหรือนักการเมืองที่สนับสนุนกัน จอมพลัง อุดมด้วยพวกสีเทา พวกที่ถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย สแกมเมอร์ และพวกเขี้ยวลากดินที่ทุจริตคอรัปชั่นจำนวนมาก โดยคนกลุ่มนี้ยึดโยงกับกลุ่มอำนาจฝ่ายชนชั้นนำ ทุน ทหารฝ่ายเลวที่นิยมชมชอบการรัฐประหาร (ไม่รวมทหารน้ำดี) พวกนี้เป็นปีศาจที่ยึดกุมประเทศมายาวนาน และก็เป็นฐานให้ กัน จอมพลัง ยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ ใช่หรือไม่
3. ปรากฏการณ์ กัน จอมพลัง รวมทั้งการนำเสนอข่าวของสื่อต่างๆ ที่สอดคล้อง ล้อกันไป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการจัดวางของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ความขัดแย้งไทยกัมพูชาก็เป็นการจัดวางของกลุ่มอำนาจชนชั้นนำร่วมกับทหาร ทั้งเพื่อขับไล่รัฐบาลแพรทองธาร (ส่วนหนึ่งเพราะแพรทองธารพลาดเอง) และใช้อุดมการณ์ชาตินิยมมาสร้างความนิยมศรัทธาจากประขาชน เพื่อช่วงชิงความเป็นต่อ ขจัดฝ่ายตรงข้าม เป็นคานดีดงัดในการช่วงชิงอำนาจการเมืองการปกครองในประเทศ
จะสังเกตได้ว่าปัญหาไทยกัมพูชา ทำให้คนลืมทหารที่ถูกฆ่าในกองทัพ ธุรกิจสีเทาในวงการทหาร กระบวนการรัฐประหารที่บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาบ้านเมืองไปเลย ประชาชนเคลิ้มจนฟูมฟายแทบจะหันมาสนับสนุนฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายขวา สื่อมวลชนก็บ้าคลั่งโหมกระแสสนับสนุน รวมถึงได้ประโยชน์จากยอดเอนเกจเมนต์
เป็นเรื่องตลกมากเลย ที่นานาชาติ กระตือรือร้นจะจัดการเรื่องสแกมเมอร์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายที่ชายแดน แต่รัฐบาลโดยพรรคภูมิใจไทยทำเป็นตาบอดหูหนวก อย่างมีข้อพิรุธน่าสงสัยว่ามีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลคนไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายที่ชายแดน รวมถึงมีทหารหรือข้าราชการคนไหนบ้างที่รับส่วยที่ชายแดน
สุดท้าย ขอสรุปว่า อย่าเอาอุดมการณ์ “รักชาติ” มาปิดหูปิดตาปิดปาก ไล่ล่าแม่มด ป้ายสีว่าคนอื่นไม่รักชาติ บิวประชาชนจนคุคั่งด้วยความเกลียดชังพร้อมประหัตประหารกัน ปัญหาไทยกัมพูชาต้องแก้อย่างโปร่งใส ตามมาตรฐานสากล และ กัน จอมพลัง ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายแสดงพลังที่ชายแดน กระทรวงกลาโหมที่มีงบกว่าสองแสนล้าน เอาเงินไปไหนหมดถึงไม่เอามาดูแลกำลังพล ทหารชั้นผู้ใหญ่อยู่สุขสบาย ผู้น้อยยากลำบาก หรือรัฐบาล หากขจัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนไม่ได้ เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ควรไสหัวไป
ประชาชนที่เดือดร้อนก็ไม่ต้องไปเรียกร้องจาก กัน จอมพลัง หรือ สว.อังคณา แต่ให้เรียกร้องจากรัฐบาล รวมถึงปั๊มน้ำมันที่ถูกระเบิดด้วย รัฐบาลจะชดเชยดูแลเขาได้หรือไม่แค่ไหนอย่างไร ควรรีบพิจารณา อนุทินควรเอาเวลามาดูแลประชาชน ไม่ใช่มัวแต่ไปเป่าแซกโซโฟน

https://www.facebook.com/sippapacha.fund/posts/24846159851709314


อ.ปวิน สรุปการปะทะวิวาทะระหว่าง สส ไอซ์ กัน จอมหลัง ในรายการ "คุยนอกจอ" ของคุณสรยุทธ์


[คลิปเต็ม] ไอซ์ รักชนก (ถาม) VS กัน จอมพลัง (ตอบ) ดรามาปัญหาชายแดนสู่การเมือง?

สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

15 hours ago 
#กรรมกรข่าวคุยนอกจอ #สรยุทธสุทัศนะจินดา #คุยนอกจอ

[คลิปเต็ม] ไอซ์ รักชนก (ถาม) VS กัน จอมพลัง (ตอบ) ดรามาปัญหาชายแดนสู่การเมือง?

https://www.youtube.com/watch?v=dt8Pv2agRqQ
.....

Pavin Chachavalpongpun
16 hours ago
·
ขอสรุปการปะทะวิวาทะระหว่าง สส ไอซ์ Rukchanok Srinork และกันจอมหลัง ในรายการ "คุยนอกจอ" ของคุณสรยุทธ์นะคะ ก่อนอื่น ดิชั้นขอพูดว่าถึงปรากฏการณ์ “กันจอมพลัง” ในฐานะเครื่องมือทางอำนาจและการเมืองของอุดมการณ์ชาตินิยม กันจอมพลังได้ก้าวข้ามจากการเป็นนักกิจกรรมไปสู่การเป็นตัวแสดงทางการเมืองเชิงสัญลักษณ์ ที่สะท้อนการผสานอำนาจของรัฐเงา เครือข่ายผลประโยชน์ และการใช้สื่อเป็นอาวุธ การวิเคราะห์นี้ของดิชั้น มุ่งเน้นการทำความเข้าใจบทบาทของกันจอมพลัง ในฐานะกลไกที่ถูกใช้ในการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาโครงสร้างอำนาจที่แท้จริงค่ะ
แต่ก่อนอื่น เรามาดูบทบาทของ สส ไอซ์ รักชนก ค่ะ ต้องยอมรับว่า ไอซ์กลายมาเป็นกลไกฝ่ายค้าน (ที่สำคัญอีก 1 คน) ในการจุดประกายการตรวจสอบอำนาจ การเผชิญหน้าในรายการคุยนอกจอ ซึ่งมี สส ไอซ์ ในฐานะผู้ตั้งคำถามหลัก ถือเป็นการใช้เวทีสื่อมวลชนเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ เพื่อตรวจสอบบุคคลสาธารณะที่ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม บทบาทของ สส ไอซ์ สะท้อนถึงการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านนอกสภาฯ ที่มุ่งเน้นการตั้งคำถามเชิงโครงสร้างและข้อเท็จจริงทางการเมือง โดยเฉพาะ:
1. สส ไอซ์ไม่ได้สนใจแค่เรื่องดราม่าส่วนตัว แต่ผลักดันให้การสนทนามุ่งไปที่ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน (สัญญาภาครัฐ, การใช้ทรัพยากรรัฐ) และความเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
2. ต้องยอมรับว่า สส ไอซ์ ตั้งคำถามที่คม ชัด และมีข้อมูล ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนมวลชนที่สงสัยในความโปร่งใสทางการเงินและผลประโยชน์ทางการเมืองของกันจอมพลังได้อย่างดีเยี่ยม
3. สส ไอซ์ได้ตั้งคำถามที่ชัดเจนในประเด็นความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจระดับสูงในรัฐบาล ช่วยเปิดหน้าต่างให้สังคมสามารถวิเคราะห์ปรากฏการณ์ของกันจอมพลังในมิติทางการเมืองได้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การชื่นชมในฐานะ "ฮีโร่" เท่านั้น
...เอาล่ะ ขอขยายความข้างต้นในส่วนที่ สส ไอซ์ ตั้งคำถามต่อกันจอมพลัง ดังนี้ เรื่องแรกคือการที่กันจอมพลังกล่าวอ้างว่าตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ปรากฏเรื่องการรับงานจากหน่วยงานภาครัฐ บริษัทของกันจอมพลังมีการรับสัญญางานเฉพาะเจาะจงจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้มีอำนาจที่กันจอมพลังใกล้ชิดกำกับดูแลอยู่ การได้รับงานในลักษณะที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีเจตนาหลีกเลี่ยงการประมูล รวมถึงการได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรของรัฐ เช่น เฮลิคอปเตอร์ เพื่อปฏิบัติภารกิจส่วนตัว ล้วนแล้วแต่เป็นการได้รับประโยชน์โดยตรงจากกลไกทางการเมืองและภาษีของประชาชน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ทำให้ความพยายามในการวางตัวเป็นกลางทางการเมืองไร้น้ำหนักลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่ง สส ไอซ์ ได้ชี้ถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจน
...สส ไอซ์ยังพูดถึงเรื่องฐานอำนาจของกันจอมพลังที่มาจากศรัทธามวลชน ที่หลั่งไหลผ่านเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ทว่าความศรัทธานี้กลับถูกบดบังด้วยความไม่โปร่งใสทางการเงิน การขาดการเปิดเผยยอดบริจาครวม รายละเอียดการใช้จ่าย และยอดคงเหลือ ถือเป็นการละเลยหลักธรรมาภิบาลพื้นฐานของการทำงานสาธารณะ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบและการดำเนินคดีทางกฎหมายในอนาคต ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการระดมทุนที่ไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเงินได้อย่างชัดเจน การบริหารจัดการเงินทุนโดยไม่มีกลไกตรวจสอบภายนอกที่ชัดเจนย่อมสร้างคำถามว่า ทุนก้อนนี้กำลังถูกใช้เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมให้แก่กิจกรรมทางการเมืองที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่
...นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามถึงการที่กันจอมพลังทำหน้าที่เป็น "อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมือง" ที่ทรงอิทธิพลในการผลิตซ้ำและปลุกเร้าอุดมการณ์ชาตินิยมแบบอนุรักษ์นิยม การใช้ถ้อยคำที่ยึดโยงกับ "ความรักชาติ" หรือ "การเสียสละ" เพื่อสร้างเกราะป้องกันตัวเองและโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง (เช่น นักสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มที่ถูกมองว่าไม่รักชาติ) ทำให้มวลชนจำนวนมากตอบสนองด้วยความโกรธแค้นโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการไตร่ตรองเหตุผล สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า กันจอมพลังคือเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่กลุ่มอำนาจเดิมสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองและชี้นำความคิดเห็นของสาธารณะในประเด็นที่อ่อนไหว
...อีกประเด็นที่ สส ไอซ์ เจาะได้ดีคือการที่กันจอมพลังนิ่งเฉยในประเด็นสแกมเมอร์ กันจอมพลังได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้าพื้นที่ชายแดนอย่างง่ายดาย สส ไอซ์ชวนให้ตั้งคำถามถึงเครือข่ายอำนาจที่ค้ำจุน หรือรัฐเงาที่อยู่เบื้องหลัง ปฏิบัติการรถดูดส้วมและเพลงผีอาจถูกใช้ในการเบี่ยงเบนความสนใจสาธารณะไปจากปัญหาสแกมเมอร์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาก็เป็นได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือความนิ่งเฉยของรัฐบาล โดยเฉพาะผู้มีอำนาจระดับสูงในพรรคการเมืองที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายผลประโยชน์ของกลุ่มสแกมเมอร์ การไม่แสดงความร่วมมือในการปราบปรามอย่างจริงจังทั้งที่มีอำนาจเต็ม ย่อมถูกตีความได้ว่าเป็นการปล่อยปละละเลย และเป็นการกระทำที่อำมหิตที่สุดต่อประชาชนที่ถูกหลอกและถูกทอดทิ้งให้เผชิญความทุกข์ทรมาน สส ไอซ์แตะเรื่องนี้ค่ะ
...โดยรวม สส ไอซ์เรียกร้องให้กันจอมพลัง ใช้ความกล้าหาญและความโกรธแค้นที่เคยมีต่อฝ่ายเห็นต่าง หันมาท้าทายและเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีและผู้มีอำนาจที่นิ่งเฉยต่อปัญหาสแกมเมอร์ นั่นคือบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่าเค้าต่อสู้เพื่อชาติและประชาชนอย่างไม่มีเงื่อนไขแค่ไหน หรือเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำที่อำพรางอยู่ภายใต้ร่มเงาของวาทกรรมรักชาติ
...อันนี้ ให้ สส ไอซ์ 10 10 10 ส่วนสรยุทธ์ทำหน้าที่บาลานซ์ได้อย่างดีค่ะ


https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/24188349510840151
https://www.youtube.com/watch?v=dt8Pv2agRqQ



วันจันทร์, ตุลาคม 20, 2568

กัน จอมพลัง นี่เขาดังเหลือหลาย ขนาด ‘ไอน์สไตน์’ ยังลุกขึ้นมาชื่นชม นอกจากสัมปรายภพแล้วยังมีอีกมากมายบนโลกใบนี้ ราชาปิ๊กมี่กับปูตินก็มา

อูย กัน จอมพลัง นี่เขาดังเหลือหลาย ขนาด ไอน์สไตน์ ยังลุกขึ้นมาชื่นชม เพจ ข่าวกันจอมพลังบอก “ต่างชาติให้กำลังใจ แต่คนไทยบางกลุ่มไม่เห็นค่า” โคว้ตข่าว New York ‘Tame’ 20/10/2025 ว่า “ยังกล่าวให้กำลังใจ และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่”

แฟนคลับกันต้องขอบใจ นิชนันท์ วังคะฮาด เธอนะ ที่อุตส่าห์รวบรวมโพสต์ยกยอคุณงามความดีโด่ของ กัน มาให้ดูกันว่าคำชมไม่เพียงมาจากทุกสารทิศ แม้สัมปรายภพก็ยังมีมา นอกเหนือจากนั้นก็เบาเสียที่ไหน จาก วราดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย งี้

ส่วนเกี่ยวกับ ลีโอนาโด ดิแคปริโอ ซึ่งฮือฮามาก เสียแต่ว่าคนลงภาพจัดพลาดไปนิดเดียว รูปต้นฉบับเนื้อความภาษาอังกฤษ กับคำแปลไทยไม่ตรงกันเลยแม้แต่คำใดคำเดียว อ้อ ยกเว้นชื่อต้นแปลได้ตรงเป๊ะ

คนอื่นๆ ที่ชมคุณพรี่กันของเรา นอกจากสตี๊ฟ จ๊อบ แล้วก็ Pita Limjaroenrat ยังมีคนเก่งด้านไอที คนดีย์สายสื่อสารมวลชนของญี่ปุ่น ดูท่าจะเอาอย่างเจ๊ติ่ง มัลลิกา ปากกล้าคนนั้น ส่วนนักการเมืองญี่ปุ่นทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่าเอาด้วย

อดีต สส.รุ่นเก๋า พรรคเสรีประชาธิปไตย มาสายเดียวกับ E-Thing ชมไม่ชมเปล่า ด่า สว.อังคณากับเขาด้วย บอกว่า “อ่อนหัด เหมือนปืนใหญ่ที่ไม่เหลือกระสุน” อะ นายทหารเรือหนุ่มของกองทัพบราซิลก็มา อย่างหนาช่างกล้าตรงที่บอกว่า

“สมเด็จพระราชาธิบดี ชิกเม เคซาร์ นัมเกยล วังชุก (ถึงกับ) ออกแถลงการณ์สำนักพระราชวังภูฏาน ทรงพระราชทานเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ เข้าบัญชี กัน จอมพลัง เพื่อช่วยเหลือคนไทย” วุ้ย น่าปลื้มจริงจัง แต่ว่าต้องฟังคุณ น้ำ เสียหน่อยก่อนนะ

ใครเป็นแอดมินดูแลเพจ ข่าวกันจอมพลัง...ทำไมปล่อยให้คนสร้างข่าวปลอมแชร์ลงในกลุ่มสมาชิก จำนวนถึง ๓ แสนกว่าคน มันไม่ใช่ข้อมูลจริง...เตือนด้วยความหวังดี รักชื่นชมได้ จะให้กำลังใจได้ จะอวยแบบไหนก็ได้หมด แต่ไม่ควรลงข้อมูลไม่จริง”

เธอชี้ด้วยว่า แฟนคลับ “เปิดเพจมาแล้วมาปั่นข่าวปลอม...หรือโพสต์อะไรที่ไม่เป็นความจริงถึงขั้นเลยเถิดมากไป...หลายคนหลงเชื่อ...ถูกหลอกได้ง่ายๆ...จะทำให้คุณกันเสียชื่อเสียงไปด้วย” แต่ ดูดีๆ อีกที อาจเป็นเพจหวังดีที่มุ่งร้ายก็ได้นะ

(https://www.facebook.com/permalink.story=100066760812874)