วันอาทิตย์, ธันวาคม 14, 2557

ไม่ใช้ ‘ท่านผู้หญิง’ นามใหม่ น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี







































ที่มาเรื่อง ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวหน้า 1 14 ธ.ค. 2557 02:48

ทําบัตรประชาชนใหม่เขตดุสิต ใช้ที่อยู่เดิมอ.วัดเพลงจ.ราชบุรี พระราชทาน200ล.ให้ดํารงชีพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานเงิน 200,000,000 บาท ให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ใช้ในการดำรงชีพ และดูแลครอบครัวต่อไป ตามที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร นำความขึ้นกราบบังคมทูล ขณะเดียวกัน โลกโซเชียลฯเผยแพร่ภาพที่ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์เดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเขตดุสิต ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยใช้ชื่อในบัตรประชาชนว่า “น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี”

ตามที่ราชกิจจานุเบกษาฉบับทะเบียนฐานันดรฯ เล่ม 131 ตอนที่ 29 ข (12 ธันวาคม พ.ศ.2557) เรื่อง พระบรมราชโองการประกาศเรื่องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบ ฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต ประกาศ ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ต่อมามีรายงานเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ว่า เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. มีหนังสือจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ลงวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 ถึงประธานกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยาม มกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต และสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎ ราชกุมาร ขอพระราชทานเงินจำนวน 200,000,000 บาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อพระราชทานให้ใช้ในการดำรงชีพและดูแลครอบครัวต่อไป นั้นอนุญาต โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ก่อนหน้านี้ มีรายงานด้วยว่า เพื่อคงไว้แห่งพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ จากข้อมูลต่างๆในช่วงนี้ขอสรุปดังนี้ 1.ได้มีการลงพระนามในหนังสือหย่าของทั้ง 2 พระองค์ โดยมีองคมนตรีเป็นพยาน ในการครั้งนี้ 2.พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ กราบพระบาทแล้วขอทูลลา ไม่ขอรับใดๆทั้งสิ้น ขออย่างเดียวถวาย พระองค์ทีแก่ท่าน ซึ่งแสดงถึงความคงไว้ซึ่งในพระเกียรติยศในความเป็นพระเจ้าหลานเธอ 3.ทรงพระเมตตาสูงสุดแก่พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ โดยพระราชทานเงินหนึ่งก้อนให้ 4.ท่านผู้หญิงจะกลับไปใช้ชีวิตเรียบง่าย ณ บ้านเกิดโดยศึกษาธรรมะ และปฏิบัติธรรม 5.ส่วนพระองค์ทีทรงตามเสด็จท่านไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ในช่วงข่าวพระราชสำนักจะงดขึ้นภาพของท่านผู้หญิง โดยปัจจุบันถือว่าท่านผู้หญิงได้สละความเป็นพระราชวงศ์เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงมหาดไทยวันเดียวกันว่า ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี เดินทางไปทำบัตรประชาชนใหม่ที่สำนักงานเขตดุสิต กทม. เมื่อวันก่อน โดยระบุชื่อในบัตรประชาชนว่า “น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี” ทั้งนี้ในสำนักข่าวเว็บไซต์ต่างๆ และโซเชียล ออนไลน์ ได้เผยแพร่ภาพท่านผู้หญิง ขณะเดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเขตดุสิต โดยท่านผู้หญิงสวมเสื้อยืดสีเหลือง กระโปรงสีขาว เดินเข้าไปในสำนักงาน และทักทายประชาชนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

สำหรับบัตรประชาชนของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ที่เดินทางไปทำใหม่ที่สำนักงานเขตดุสิต ระบุรายละเอียดในบัตร ชื่อตัวและชื่อสกุล ดังนี้ น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี เกิดวันที่ 9 ธ.ค.2514 ศาสนาพุทธ ที่อยู่ 149 หมู่ที่ 6 ต.วัดเพลง อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี วันออกบัตร 11 ธ.ค.2557 วันบัตรหมดอายุ วันที่ 8 ธ.ค.2566 มีนายกฤษฎา บุญราช เป็นเจ้าพนักงานออกบัตร

ส่วนความคืบหน้าในเรื่องคดีแอบอ้างเบื้องสูง วันเดียวกัน พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวถึงการติดตามจับกุมนายปรีชา ดาราไตร อายุ 45 ปี นักธุรกิจนำเข้าและขายรถมือสอง นายไพเชษฐ์ เมธีสริยพงศ์ อายุ 45 ปี เจ้าของอู่รถเมล์ร่วมสาย 8 และนายนพพร ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี มหาเศรษฐีหมื่นล้าน 3 ผู้ต้องหาตามความผิดมาตรา 112 ที่ยังหลบหนีคดีว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้ต้องหารายใดติดต่อเข้ามอบตัว เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนจับกุม ส่วนสำนวนคดีท้องที่ สน.วัดพระยาไกร และ สน.พระโขนง ที่ส่งไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบนั้น ยังไม่มีการแจ้งให้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม หลังจากตรวจสอบสำนวนเรียบร้อยแล้ว คณะพนักงานสอบสวน ตร. จะแจ้งให้ทราบ ก่อนส่งสำนวนให้อัยการต่อไป

ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และ รรท.ผบช.ก.กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ โดยแยกพยานหลักฐานส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงาน ปปง.และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อดำเนินการในความผิดที่มีความเกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะสรุปรายละเอียดสำนวนคดีนี้ได้ภายใน 10 วัน สำหรับการตรวจยึดของกลางจำนวน 10,000 ชิ้น อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร เพื่อยืนยันมูลค่าของทรัพย์สินของกลางดังกล่าว

มีรายงานว่า ในกรณีจับกุม น.ส.สุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหาความผิดมาตรา 112 พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียก น.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร ผู้ร่วมธุรกิจกับผู้ต้องหา กรณีแอบอ้างเบื้องสูงจนได้การประมูลกิจการขายผักต้ม ผักลวก และน้ำพริกต่างๆ ส่งวังศุโขทัย และพระที่นั่งอัมพรสถาน มาสอบปากคำ โดยจะแจ้ง น.ส.ปาลิดา ให้ทราบก่อนวันที่ 15 ธ.ค. และกำหนดเวลา 3 วัน ไม่เกินวันที่ 18 ธ.ค. เพื่อให้มาพบพนักงานสอบสวน สน.สามเสน เพื่อสอบปากคำข้อมูลเกี่ยวกับคดี รวมทั้งตรวจสอบสถานะ น.ส.ปาลิดา ว่าเป็นผู้ร่วมลงทุน หรือลูกจ้าง และมีส่วนรู้เห็นในการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้ชนะการประมูลงานหรือไม่ เนื่องจากความผิดดังกล่าวนั้น น.ส.สุดาทิพย์ รับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำเพียงคนเดียว

สำหรับคดีที่นายชากานต์ ภาคภูมิ และนายณัฐพล มีการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเรียนในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดยนายชากานต์ให้การรับสารภาพ ขณะที่นายณัฐพลยังคงให้การปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็น เบื้องต้น พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว จะส่งตรวจลายมือชื่อว่าเป็นของนายณัฐพลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่ลายมือชื่อของนายณัฐพล แต่ก็มีส่วนรู้เห็นว่านายชากานต์เป็นคนทำหนังสือฉบับนี้ขึ้น ถือว่ามีความผิดเพราะมีส่วนรู้เห็น ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้สอบถามพยานแวดล้อมรวมถึงคำให้การจากทางมหาวิทยาลัยเสร็จสิ้นเรียบร้อย คาดว่าจะสรุปสำนวนเสร็จภายในอาทิตย์หน้า

ทั้งนี้ ชุดสอบสวน (บช.น.) ได้สรุปสำนวนคดี แบ่งเป็นคดีหมิ่น ม.112 มี 4 คดี ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร สน.พระโขนง สน.สามเสน และ สน.ลาดพร้าว คดีอาวุธปืน 1 คดี ในพื้นที่ สน.คันนายาว ส่วนคดีหมิ่น ม.112 และ ม.157 ทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. โดยสรุปสำนวนส่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไปแล้วทั้งหมด 3 คดี คือ คดีกรรโชกทรัพย์ทวงหนี้ผู้เสียหาย 30 ล้านบาท ท้องที่ สน.พระโขนง คดีบังคับข่มขู่ให้ลดค่าเสียหายมูลค่า 120 ล้านบาท เหลือเพียง 20 ล้านบาท ท้องที่ สน.วัดพระยาไกร และคดีอาวุธปืน ท้องที่ สน.คันนายาว ส่วนคดีหมิ่น ม.112 ท้องที่ สน.สามเสน และ สน.ลาดพร้าว จะเร่งสรุปสำนวนในอาทิตย์หน้า รวมถึงคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ที่มีความคืบหน้าของคดีไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ ยังเหลือในเรื่องการตรวจของกลางที่เจ้าหน้าที่จะเร่งสรุปสำนวนส่งให้ ตร.

วันเดียวกันมีรายงานว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. สั่งการให้ชุดพนักงานสอบสวนตรวจสอบกรณีส่วยน้ำมันเถื่อนเตรียมเรียก พ.ต.อ. สังกัดกองบังคับการตำรวจน้ำ บช.ก. มาสอบปากคำ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีความผิดตามมาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีนายณรงค์กรณ์ หรือโจ เจียรเสริมสิน อายุ 41 ปี น้องชายเสี่ยโจ้ นายสหชัย เจียรเสริมสิน ผู้ต้องหาหนีคดีปลอมแปลงเอกสารและพัวพันจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อน ร้องขอความเป็นธรรมให้พี่ชายว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่กล่าวหา รวมทั้งนำหลักฐานสำเนาการโอนเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง ฉบับลงวันที่ 21 พ.ย.51 23 ก.ย.52 และสลิปเอทีเอ็ม ลงวันที่ 27 ม.ค.55 รวมเป็นเงิน 110,000 บาทให้กับ พ.ต.อ.ผู้นี้ เพื่อให้พ้นจากการถูกขู่และกลั่นแกล้งธุรกิจครอบครัวที่ประกอบธุรกิจค้าไม้แปรรูปจากลาวไป จ.ปัตตานี

เย็นวันเดียวกัน นายณรงค์กรณ์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า ยังไม่ทราบข่าว และติดต่อกับนายสหชัยพี่ชายไม่ได้เลย ได้แต่รอให้พี่ชายติดต่อมา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว มีชาวประมงหลายคนเข้ามาให้กำลังใจ เนื่องจากมีคนเห็นใจ ถ้ามีชาวประมงในพื้นที่ จ.ปัตตานี ขอความช่วยเหลือเรื่องโดนเจ้าหน้าที่รีดไถ รวมทั้งจะเป็นสื่อกลางนำเรื่องส่งให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. และรรท.ผบช.ก. หลังจากแฉพฤติกรรมนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ผู้นี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักหลายนายให้กำลังใจ อีกทั้งการกระทำของ พ.ต.อ.ผู้นี้ ทำให้ชาวประมงที่ถูกเรียกเก็บเงินหลายรายได้รับความลำบาก แม้จะถูกย้ายไปช่วยราชการ แต่ยังมีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ ตนพร้อมให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ooo

นางสาวศรีรัศมิ์ สุวะดี (อดีตหม่อมศรีรัศมิ์)

https://www.youtube.com/watch?v=SiBjF2-w4wM&feature=youtu.be

Published on Dec 12, 2014หลังจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันด­รศักดิ์แห่งพระราชวงศ์แล้ว ซึ่งเป็นไปตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 เผยแพร่ประกาศเล่ม 131 ตอนที่ 29 ข ซึ่งความทราบฝ่าละอองพระบาท และพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วนั้น มีรายงานว่า ทรงหย่าจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2557 โดยมีองคมนตรีเป็นพยานในการหย่าครั้งนี้ โดยหม่อมกราบพระบาทแล้วขอทูลลา และไม่ขอรับใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมถวาย "พระองค์ที" แก่สมเด็จพระบรมฯ ซึ่งแสดงถึงความคงไว้ซึ่งพระเกียรติยศในคว­ามเป็น "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ"

ส่วนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศม­ีโชติ ทรงตามเสด็จฯสมเด็จพระบรมฯไปศึกษาต่อยังปร­ะเทศเยอรมันแล้ว สำหรับการนำเสนอข่าวพระราชสำนักนั้น จะงดขึ้นภาพของหม่อม เพราะถือว่าได้สละความเป็นพระราชวงศ์เป็นก­ารเรียบร้อยแล้ว