วันพุธ, ธันวาคม 03, 2557

ตามดีนัก จัดให้หนัก :เรื่องเล็กๆ เกล็ดเบาๆ จากใน มธ. ท่าพระจันทร์

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 57  เวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนงานเสวนาของกลุ่มสภาหน้าโดมจะจบลง ผมกับเพื่อนจำนวนหนึ่งได้ลงมาก่อนเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบบริเวณใต้ถุนอาคารคณะ ศิลปศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ หลังจากนั่งอยู่พักหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่ามี จนท. ตร. นอกเครื่องแบบ (คุ้นหน้าคุ้นตากันดี) เดินตามเรามาจากทิศทางไหนไม่แน่ชัด แต่พอเห็นก็มานั่งถัดจากโต๊ะที่เรานั่งไปสองสามแถว

(เป็นแบบนี้จนชิน เพราะมาเกือบทุกวัน)

…..ผมจึงกระซิบบอกเพื่อนๆว่าวันนี้มาเยอะเป็นพิเศษ สงสัยจะตามหัวโจกแต่ละคนมา เพราะตอนนั้นฝ่ายเรามาร่วมงานเสวนากันเกือบครบขบวนทีม

……พอดีเห็นคุณสิรวิชญ์กำลังหาคนเลี้ยงข้าวอยู่พอดี เลยบอกคุณสิรวิชญ์ว่าจะมีคนเลี้ยงข้าวแล้วนะ พูดเท่านี้คุณสิรวิชญ์ก็เป็นอันเข้าใจ แล้วผมจึงบอกกับทุกคนที่ร่วมโต๊ะว่า ในเมื่องานของเขาคือตามดูพฤติกรรมเรา ก็จะจัดให้คุ้มกับเงินเดือนที่เป็นภาษีประชาชนเสียหน่อย คุณสิรวิชญ์ถามผมว่าทำอย่างไร ? ประโยคนี้จึงเป็นเสมือนประโยคเริ่มต้นให้เราได้คิดต่อไป เราร่วมกันคิดจนได้แผนปฏิบัติการมาเรียบร้อย

หากสนใจกิจกรรมของพวกเขา ติดตามดูได้ตามลิ้งค์นี้

หลังจากได้แผนการก็ไม่รอช้าที่จะลงมือ ในขณะที่เรากำลังลงมือ ชุดติดตามที่เรารู้จักนั้น ผมขอใช้เรียกว่าชุด A ก็เข้ามาทักทายทำท่าทางเข้ามาบอกลาเราว่าจะกลับบ้านแล้ว แต่ผมรู้ทันว่าเขามาเพื่อสิ่งใดเพราะสายตาของเขาสอดส่องดูว่าเรากำลังทำอะไรกัน ผมจึงถามเขาว่า “ออกเวรแล้วหรือ? ” เขาก็ตอบผมว่า "จะกลับแล้ว" แต่ผมคิดว่าว่าเขาต้องมีคนมาสับเปลี่ยนเวรแน่ๆ หากต้องออกเวร เพราะเรายังไม่กลับกัน จนตาผมไปสะดุดเห็นผู้ชายเสื้อลายสก็อตนั่งห่างๆ ซึ่งกำลังดูดบุหรี่และเล่นโทรศัพท์ ผมก็เลยชี้นิ้วไปพรางถามกับตร. ชุด A ว่า "คนนั้นที่นั่งอยู่นั่น สน. ไหน?” พี่ ตร. ชุด A สีหน้าไม่สู้ดีนัก และเงียบไปสักพักก่อนจะพูดเบาๆว่า จาก………..ผมก็ทำมือ OK’ ก่อนบอกลาพี่แก

…..หลังจากนั้น เวลาเริ่มปฏิบัติการแก้เผ็ดพวกติดตามภารกิจที่หนึ่งก็ได้เริ่มขึ้น ซึ่งในใจลึกๆ แล้วส่วนตัวผมหวังว่าจะกระชากหน้าพวกที่ติดตามเราอยู่ตอนนี้ออกมาให้เห็นว่าพวกเขามีกันอยู่กี่คน และแล้วมันก็เป็นดังที่เราคาดไว้ จากที่ผมเห็นเพียงคนเดียวที่ใส่เสื้อสก็อต (ให้เป็นชุด B ) กลายเป็นว่าโผล่มาจากไหนไม่ทราบกว่า 6 คนเข้ามาขัดขวางเรา ซึ่งมี ตร. นอกเครื่องแบบทั้ง ชุด A ,B และเผยตัวออกมาอีก เพิ่มเติม (ให้เป็นชุด C )

พวกเขาเข้ามายึดกระดาษที่เขียนรูปสามนิ้ว และข้อความว่า “ตร. นอกเครื่องแบบเต็มมหาลัยเบย” พวกเขาเข้ามายึดไปคามือเราภายในเวลาไม่ถึง 30 วินาที นั้นแปลว่ารอบๆ ตัวพวกเราในเวลานั้ มีตำรวจนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็น ตร. คอยเตรียมควบคุมพฤติกรรมเราอยู่ตลอดเวลา
…..หลังจากนั้นเราคิดว่าต้องมีปฏิบัติการขั้นที่สอง เริ่มจากความไม่มีเหตุผลที่เขายึดกระดาษไป ทั้งที่กระดาษว่างเปล่าก็ยังยึดไปด้วย เราจึงคิดว่าต้องเริ่มปฏิบัติการทวงคืนกระดาษ เริ่มจากเราได้กระจายตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อไปเตรียมกระดาษชุดที่สอง เขียนข้อความว่า "เอากระดาษเราคืนมา” ( เพราะเจ้าหน้าที่ยึดไปในภารกิจแรก)

เราก็เริ่มเดินติดไปตามบอร์ดในธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เช่นครั้งแรก แต่ครั้งนี้ ตร. ชุดเดิมกลับมาแต่มีเพียงชุด A เท่านั้น เขาเดินตามเราตลอด ซึ่งเรากับ ตร.ห่างกันเพียง 10-15 เมตรเท่านั้น เขาพยายามถามว่าเราจะทำอะไร เราก็บอกตรงๆว่า “ตามหากระดาษ พวกพี่เอากระดาษของพวกผมไป" ซึ่งมันฟังดูอาจจะดูกวนโอ้ย หรือไร้สาระ

แต่หากเราลองเปรียบเทียบว่ากระดาษนั้นคือสิทธิขั้นพื้นฐานในมหาวิทยาลัยของเราเอง ที่เราจะคิดจะเขียนจะแสดงออกในสิ่งที่เรารู้สึก ยังต้องถูกควบคุม ตรวจยึดไป ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า กระดาษหนึ่งแผ่นเราก็ต้องรักษาสิทธิตรงนี้ เพื่อยืนยันว่าเราเคยมีเคยได้สิทธิตรงนี้ก่อนที่คุณจะเข้ามายึดอำนาจของเราไป
…….พอเราเดินไปเรื่อยๆก็ติดกระดาษไปเรื่อยๆ ติดไปเจ้าหน้าที่นายนั้นก็ตามแกะออกไป พรางบ่นไป เราก็ตอบโต้กันไปเรื่อยๆ จนทั้งสองฝ่ายเหนื่อย ก็ปรับทุกข์ปรับสุขกัน พอหายเหนื่อยเสร็จก็ติดกระดาษกันต่อจนกระดาษเราหมด เราก็ไปขอกระดาษคืนจากตำรวจนายนั้น ขอมาเราก็มาติดตามบอร์ดต่อๆ ไป

ติดตั้งแต่รอบลานโพธิ์ ไปจนถึงเดินรอบสนามฟุตบอล เข้าไปติดบริเวณคณะนิติศาสตร์ วนกลับมาหน้าตึกโดมอีกครั้ง จนหมดแรงกันไปทั้งสองฝ่าย ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจตามหากระดาษของเรา เพราะ เราถือว่าเราได้แก้เผ็ดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับคำสั่งให้มาตามติดชีวิตพวกเรา หวังว่าคงจะเข็ดไปอีกนาน

…..แม้มันจะดูเป็นเรื่องขำขันอยู่บ้าง แต่เรารู้ตัวเสมอว่า ชีวิตนี้ล้วนอยู่บนเส้นด้าย เราก็พร้อมจะยอมรับในสิ่งที่จะตามมา ทุกครั้งที่เราลงมือทำอะไรลงไปก็ตามแต่ เราหวังเพียงว่ามันไม่ได้ไปกระทบต่อสิทธิของผู้อื่น และไม่ได้ทำลายทำร้ายใคร ที่สำคัญเราไม่ได้ล้มล้างกฎกติกา หรือกฎหมายของประเทศ

ด้วยความปรารถนาดี
2-12-14 โดย เด็กช่างวิจารณ์