วันอาทิตย์, มกราคม 11, 2558

ทะเลาะกับ FB ไม่พอ เหล่าคลั่งเจ้าหาเรื่องกับ UNHCR กรณี "ตั้ง อาชีวะ" เวป ประชาไท Thai PPT แฉ ความไร้สาระ-ประสาทของเหล่าคลั่งเจ้า go inter



สืบเนื่องจากการที่ สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เป็นผู้ส่งตัวตั้ง หรือ นายเอกภพ เหลือรา มาที่นิวส์ซีแลนด์ หลังจากที่ทำเรื่องขอลี้ภัย เพราะเห็นว่ากรณีตั้งป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แค่การแสดงความคิดทางการเมือง ก็ถูกตามไล่ล่าดั่งเป็นคดีอาชญากรรมระดับชาติ

ต่อมา ประชาไท มีรายงานว่า UNHCR Thailand ถูกขู่ยกเลิกเงินบริจาค เพราะตั้ง...

ขณะที่เวป Thai Political Prisoners (PPT) ได้แฉ ความไร้สาระ-ประสาทของเหล่าคลั่งเจ้า กรณี UNHCR-ตั้งไปทั่วโลก

Sat, 2015-01-10 20:14
ที่มา ประชาไท

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยบางส่วนระดมโพสต์จี้ถามในเพจสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติของไทย ถึงเหตุผลการให้สถานะผู้ลี้ภัย ‘ตั้ง อาชีวะ’ พร้อมประกาศยกเลิกให้เงินบริจาค

หลังเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงานข่าว โดยอ้างถึง นสพ.นิวซีแลนด์ เฮอรัลด์ ในประเทศนิวซีแลนด์ ว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์กำลังถูกเรียกร้องจากทางการไทยให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง (Passport) ของ เอกภพ เหลือรา หรือ ‘ตั้ง อาชีวะ’ ผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งได้หลบหนีออกจากประเทศไทย โดยรัฐบาลนิวซีแลนด์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นใดๆ ต่อกรณีของ เอกภพ ซึ่งได้เดินทางเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ในฐานะผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปีก่อน เนื่องจากทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (UNHCR) ได้เป็นหน่วยงานที่ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ เอกภพ เมื่อปีที่ผ่านมา และเขาได้หลบหนีออกจากประเทศไทย เข้าไปในกัมพูชา ซึ่งบุคคลที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR นั้น สามารถเข้ามาพำนักในนิวซีแลนด์ได้ ภายใต้ระบบโควตาผู้ลี้ภัย

ต่อมาวานนี้(9 ม.ค.) เฟซบุ๊กเพจ ‘ล้านชื่อต้านล้างผิด’ ได้โพสต์ข้อความของผู้ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า ‘Jhumpot Soleil’ อ้างเป็นคำชี้แจงต่อคำถามต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานของ UNHCR ซึ่งส่งถึงคนไทยคนหนึ่งชื่อ ‘Saijai’ ซึ่งเป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือ UNHCR ในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ ผู้หญิงที่ถูกกระทำจากสงคราม ผู้พิการจากความรุนแรงและผู้สูงอายุที่หลัดพรากจากครอบครัว
ที่มา เฟซบุ๊กเพจ ‘ล้านชื่อต้านล้างผิด

คำชี้แจงดังกล่าวระบุว่าเกิดขึ้นหลังจาก ‘Saijai’ ประกาศยกเลิกเงินบริจาค ภายหลังจากที่ทำหนังสือถามถึงสาเหตุที่อนุญาตให้ ตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ให้ได้สถานะผู้ลี้ภัย ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบจาก UNHCR ก็เกิดความไม่พอใจในการดำเนินการของ UNHCR จึงได้ทำหนังสือยกเลิกเงินบริจาคดังกล่าว เป็นเหตุให้ UNHCR ต้องทำคำชี้แจงตอบกลับมาเพื่อขอให้มีการพิจารณาทบทวนอย่ายกเลิกเงินบริจาค

โดยในโพสต์ดังกล่าวของเพจ ‘ล้านชื้อต้านล้างผิด’ มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการดำเนินการดังกล่าว ในการยุติการบริจาคเงิน


นอกจากนั้นในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘UNHCRThailand’ ซึ่งเป็นเพจเผยแพร่การดำเนินงานบรรเทาทุกข์ขององค์กรนี้ มีผู้ไม่พอใจเข้าไปโพสต์จี้ถามถึงการให้สถานะผู้ลี้ภัยดังกล่าว พร้อมทั้งประกาศงดบริจาคเงินเข้าองค์กรนี้จำนวนมาก จนกระทั่งแอดมินเพจมีการลบบางโพสต์ออก แต่ยังมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นในโพสต์จี้ถามและประกาศยกเลิกบริเจาคในโพสต์เก่าๆ ต่ออีกด้วย

ตัวอย่างบางความเห็นในเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘UNHCRThailand

การดำเนินงานของ UNHCR ในประเทศไทย ในเว็บไซต์ ระบุถึง ข้อเท็จจริงเบื้องต้น ว่า รัฐบาลไทยได้เชิญยูเอ็นเอชซีอาร์เข้าร่วมดำเนินงานในประเทศในปี พ.ศ. 2518 เมื่อผู้ลี้ภัยจำนวนหลายแสนคนจากกัมพูชา ลาว และเวียดนามหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทย เหตุการณ์นั้นถูกเรียกกันว่า วิกฤติผู้ลี้ภัยชาวอินโดจีน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากกว่า 1,300,000 คนได้รับการช่วยเหลือจากประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาหลายปี

ในวันนี้มีผู้ลี้ภัยที่ได้รับการลงทะเบียนแล้วราว 95,000 คนและผู้ขอลี้ภัยอีกราว 9,000 คนในประเทศไทย ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยจากพม่า ส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่ากะเหรี่ยงและเผ่ากะเหรี่ยงแดง พวกเขาพักอาศัยอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวจำนวนเก้าแห่งในสี่จังหวัดชายแดนไทย-พม่า รัฐบาลไทยเป็นผู้ดำเนินการในค่ายทุกแห่ง โดยได้รับความช่วยเหลือเกือบทั้งหมดจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในขณะที่ยูเอ็นเอชซีอาร์มุ่งเน้นในเรื่องการให้ความคุ้มครองและโครงการดำเนินงานที่ทำให้แน่ใจได้ว่าผู้ลี้ภัยมีความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยและได้รับการรักษาความปลอดภัยพอสมควรภายในพื้นที่พักพิงชั่วคราว
ooo

Hysterical royalist nonsense

Source: Thai Political Prisoners

All of our readers will already know that the lese majeste law is very special in Thailand. So special that the usual rules of evidence and even constitutional provisions are simply ignored when cases are brought. So special that it defines contemporary Thailand as a society that remains dominated by feudal institutions and ideas that leave horrendous scars on the body politic.

Yet ultra-royalists are not content with this special status that makes illegal what should be legal and a special status that makes a mockery of any claim that Thailand has rule of law.

An astounding report at Khaosod explains that some of Thailand’s ridiculous royalists “have called for boycotting a UN agency [the United Nations High Commissioner for Refugees or UNHCR] that reportedly helped a lese majeste suspect [Ekaphop Luera] escape the country.” Of course, this is a nonsensical report for Ekaphop had already left the land of mad monarchists before he was assisted by the UNHCR to gain acceptance by the New Zealand government.

But nonsense is the stock in trade of balmy royalists who want to remake Thailand a nineteenth century absolute monarchy. Fundamentalism is not the preserve of religious zealots for thailand’s royalists are equally irrational.

Royalist social media, “aided by a translation to Thai that appeared on the right-wing Thai newspaper Naew Na” has lit up demanding a “boycott” of the UNHCR for helping the “anti-monarchy” escape the non-justice of Thailand under the military dictatorship. As far as PPT can tell, these royalists are deranged. Indeed, reading the report in the New Zealand Herald does not indicate anything about the UNHCR doing other than its normal job.

Khaosod claims the rancid royalist campaign” appears to be coordinated by several Facebook pages…”. The tenor of the make-believe world of royalists is explained:

“The UNHCR has received so much help from His Majesty. They were allowed to work fully on Thai soil, which led to their Nobel Peace Prize in 1982,” a blogger on OK Nation wrote. “But in 2014, the UNHCR betrays His Majesty and grants a refugee status to a suspect who violated Section 112.”

This is nothing short of ludicrous. These people are so deranged by their royalist fundamentalism that the bloody events of 6 October 1976 become easier to understand as part of a hysterical fundamentalism that is pathological.