วันอังคาร, มกราคม 06, 2558

การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยประเทศไทย อนาคตต่อจากนี้ในด้านมวลชน ถ้าไม่ Reform ตัวเองใหม่ ก็แพ้ครับ



ที่มา FB ศิริพันธุ์ วัฒนวาณิชย์กุล

การต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยประเทศไทย อนาคตต่อจากนี้ในด้านมวลชน ถ้าไม่ Reform ตัวเองใหม่ ก็แพ้ครับ

เสื้อแดง ไม่มีวันเหมือนเดิม เราเคยผ่านจุด Peak สุด ตอนชุมนุมปี 2552 - 2553 ที่มากันนับแสนคน ตอนนี้เสื้อแดง นปช. เรียกได้ว่ามาถึงขาลง แนวร่วมเหลือน้อยลงเต็มที เพราะฐานมวลชนเราไม่ขยาย เรายังคงสู้แบบเดิมๆคือรอแกนนำ รอพรรคเพื่อไทย จัดชุมนุม มาฟังแกนนำแล้วกลับบ้าน เอาจริงๆเราทำได้เท่านั้น

ต่างจากฝ่ายอำมาตย์ เผด็จการ ที่เขาปรับกระบวนทัพ เน้นการโฆษณาชวนเชื่อมากๆ เขาสามารถลบคำว่า "รัฐประหาร" ให้กลายเป็นคำว่า "คืนความสุข" เขาสามารถใช้คำว่า "ปฏิรูปประเทศ" แทนคำว่า "ล้างบาง" อีกฝ่าย

ฐานมวลชนเขาขยาย แต่เรากลับลดลงอนี่คือสิ่งที่น่าเสียใจ

ถ้าพูดถึงการพัฒนาพรรคในสนามการต่อสู้ ประชาธิปัตย์ ดีกว่าเพื่อไทย เมื่อก่อนตอนปี 2553 ประชาธิปัตย์ไม่มีอะไรเลย เขาต้องคอยหวังพึ่ง ASTV ในการสู้กับฝ่ายแดง วันไหน ASTV ไม่ถูกใจก็ซัดประชาธิปัตย์เอง การเลือกตั้งปี 2554 หลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะ

"สุเทพ เทือกสุบรรณ" ออกมาพูดเลยว่า "เราไม่ได้แพ้พรรคเพื่อไทย แต่เราแพ้ขบวนการเสื้อแดง นปช." นั่นเป็นที่มาว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงเปิดเวที "ผ่าความจริง" ปลุกระดมฐานเสียงตลอดระยะเวลาที่เราเป็นรัฐบาล เขาสะสมกำลังมวลชน 2 ปีเต็ม

อลงกรณ์ พลบุตร คนนี้นี่แหละที่เป็นคนเสนอในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคจะต้องมีช่องทีวีเป็นของตัวเองเหมือนที่เสื้อแดงมี Asia Update (เวลานั้น) เขาจึงระดมทุน เปิดช่อง BLUESKY ออกมาชน ถ่ายทอดสดการปราศรัยทำเหมือนเสื้อแดง

2 ปีเต็ม เขารอเวลาที่เราจะพลาด ปีแรกส่งม็อบ เสธ.อ้าย ออกมาหยั่งเชิงก็จุดไม่ติด ตามมาด้วยหน้ากากขาว ม็อบสวนลุม ม็อบอุรุพงษ์ เจ๊งทั้งนั้น

แต่วันที่พรรคเพื่อไทยดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดซอย นั่นแหละคือวันที่ม็อบพวกนั้นจุดติดพร้อมกัน แยกอุรุพงษ์คนหลักสิบ กลายเป็นหลักพัน สองพัน ในข้ามคืน เวลานั้นประชาธิปัตย์ถึงโดดมาเล่นข้างถนน สุเทพนำม็อบออกมาจนเขี่ยลูกให้ทหารสำเร็จ

แล้วถามว่าที่ผ่านมา ฝ่ายเราทำอะไร? มัวแต่แย่งตำแหน่งกัน จะเป็นรัฐมนตรี ในพรรคเพื่อไทยก็มีระบบอุปถัมภ์ภายใน ไม่ใช่พรรคของประชาชนอย่างแท้จริง กลัวคนอื่นจะได้หน้า สกัดขากันเอง แล้ววันนี้เราเหลืออะไรไหม? มีใครได้เป็นรัฐมนตรีหรือเปล่า ทำได้แค่เก็บตัวเงียบๆ รอวันที่มันจะคืนอำนาจกลับสู่สนามเลือกตั้ง แล้วแพ้เหมือนเดิม

นี่คือความน่าสมเพชของฝ่ายเรา ฝ่ายเรามันต้องเปลี่ยนจุดขายบ้าง จะไปชูแค่ "ประชาธิปไตย" อย่างเดียว มันขายไม่ออกแล้ว วาทกรรมไพร่-อำมาตย์ ไม่ขลังเหมือนตอนปี 52-53 อะไรที่จะมาเป็นจุดขาย นี่คือสิ่งที่ต้องคิด

ที่สำคัญคือเมื่อไร มวลชนเราจะไม่ต้องพึ่งพรรคเพื่อไทยและ แกนนำ นปช. ผมไม่ได้เกลียดอะไร นายกทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และ แกนนำแดง แต่ผมคิดว่ามวลชนควรจะมี Movement เป็นของตนเอง เลิกยึดติดกับสีแดง เลิกอยู่ใต้โอวาทเพื่อไทย-นปช. สลัดคราบข้อกล่าวหา ขี้ข้า และ ม็อบรับจ้าง

ทำไมตอนประชาชนชุมนุมกันเอง คนมาแค่หลักสิบ ถึงหลักร้อย จะมาหลักพัน หลักหมื่น ต้องมีพรรคคอยหนุน แบบนี้ไม่เวิร์ค บอกเลย ไม่ได้ดูถูกพี่น้องนะ แต่มันคือสภาพจริง

ถ้าหลังวันที่ 22 พ.ค. 2557 แล้วเราออกมากันเองเป็นหมื่น เป็นแสน ต่อให้ร้อย คสช. พันประยุทธ์ ยังไงก็แพ้ประชาชน

ปี 2558 จับตาดูให้ดี ทิศทางประเทศไทยมันจะชัดขึ้น รธน. ถ้าร่างออกมาแล้วเหี้ยเกินจะรับได้ เราจะเอายังไง? ไม่ต้องไปหวังประชามติ รับ-ไม่รับ ค่าเท่ากัน

รับ - ได้รัฐธรรมนูญจัญไรขึ้นมา 1 ฉบับ เราโดนเล่นงานเหมือนที่ผ่านมา

ไม่รับ - มันอยู่ต่อ อ้างว่าปฏิรูปไม่เสร็จ ยิงยาวอีก 1-2 ปี

ถ้าเราไม่ทำอะไร นั่งรอวันแพ้ ก็ตามนั้นพับเสื่อกลับนอนอยู่บ้าน ขายก๋วยเตี๋ยว เลิกพูดปฏิวัติประชาชน ประชาธิปไตย เพราะมันก็แค่ฝันลมๆแล้งๆ หลอกให้เราดีใจ เท่านั้นเอง

เข้าใจตรงกันนะ?