วันพฤหัสบดี, มกราคม 01, 2558

รู้แระเหตุไร ‘unwise’ (แหะ แหะ ในหน้าเฟชบุ๊ค)



บทคุยโดย ระยิบ เผ่ามโน

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้รับข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแถลงตอบ ต่อการที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของคณะรัฐประหารไทย บอกกับอุปทูตอเมริกันว่า “การเลือกตั้งจะมีได้อย่างเร็วที่สุดก็เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙” โน่นแน่ะ

“เรา...เชื่อว่าการยืดเยื้อเลือกตั้งออกไปถึงปี ๕๙ นั่นไม่ฉลาดและเป็นสิ่งที่รับไม่ได้” โฆษก กต. สหรัฐกล่าวด้วยว่า ประชาชนไทยควรที่จะได้เลือกตั้งรัฐบาลของตนตามวิถีทางประชาธิปไตย “โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”

ข่าวรอยเตอร์ยังอ้างนักการทูตอาวุโสผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนี่งว่า มองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ในอำนาจแค่สองสามปี “หวั่นว่าผู้บัญชาการทหารบกที่ก่อการรัฐประหารจะหาเหตุมาเลื่อนการเลือกตั้งออกไป” อีกจนได้

ก่อนหน้านี้ราวหนึ่งเดือน ประดาแก่นแข็งคนสำคัญในคณะรัฐประหารนับตั้งแต่ตัวหัวหน้า คสช. กับพี่ใหญ่สายพยัคฆ์ที่คุมกลาโหม ไปจนถึงราชสีห์หลานป๋าแห่งวงศ์เทวัญที่ได้นั่งกระทรวงธรรมการ รวมทั้งแม่ทัพภาค ๑ ผู้ควบคุมกำลังปราบความเห็นต่าง (ล่าสุดเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้เอง) ล้วนออกมาตอกย้ำความมั่นคงกันว่า กฏอัยการศึกน่ะเหรอเลิกยากส์

ข้ออ้างอย่างเดียวตรงกันก็คือ ยังช่วยชาติไม่เสร็จ แล้วก็พากันสาละวน เติมความสุขให้ประชาชนอีกตอนจะขึ้นปีใหม่ ด้วยการส่งทหารไปเที่ยวปรับภูมิทัศน์เพื่อความร่มรื่น ทำความสะอาดศาสนสถานและแหล่งชุมชน เปิดศูนย์เพื่อการเรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสองร้อยกว่าแห่งให้ชาวบ้านไปใช้บริการในค่ายทหาร การนี้สภากลาโหมเลยลงมติปรับขึ้นเบี้ยเลี้ยงนักเรียนทหารอีก ๒๘ เปอร์เซ็นต์ กับเบี้ยเลี้ยงทหารพรานเป็นวันละ ๒๐๐ บาท

อันนี้นอกเหนือจากงบประมาณการทหารต่อปี (๒๕๕๘) เกือบสองแสนล้านบาท ที่ ดร.กานดา นาคน้อย นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัตเคยเปรยว่า ทั้งที่งบประมาณมากมาย “ฉันสงสัยว่าทำไมนายพลไทยจึงมีเวลาว่างจนไปแจ้งความจับพลเมืองด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง? หรือว่าไทยมีนายพลมากเกินไปเลยทำให้นายพลว่างงาน? ลองค้นคว้าดูแล้วพบสถิติที่น่าอัศจรรย์มาก

ไทยมีนายพลมากกว่าสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันกองทัพไทยมีนายพลประมาณ 1,400 คน [1] ส่วนสหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการทหารมีฐานทัพหลายแห่งทั่วโลกกลับมีนายพลทุกเหล่าทัพรวมกันไม่ถึง 1,000 คน [2]

( [1] http://www.freedomhouse.org/report/countries-crossroads/2011/thailand#.VEIKUPldWQw
[2] http://truth-out.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=5920%3Athe-pentagons-biggest-overrun-way-too-many-generals)”

กรณีนายพลแจ้งจับพลเมืองที่ ดร.การดาอ้างถึงนั่น หนีไม่พ้นเรื่องไล่ล่าประชาชนด้วย ม. ๑๑๒ ซึ่งดูจะเป็นความสามารถพิเศษ และงานหลักของทหารไทย แทนที่งานวิจัยและค้นคว้าพัฒนา

ซึ่งก็ตรงตามที่นักวิจารณ์ของนิตยสารฟอร์บนายหนึ่งว่าไว้

“เครื่องมือกดขี่ที่ได้ผลมากที่สุดของคณะทหารไทยก็คือ กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์ ที่ใช้ลงโทษแม้กระทั่งการถกเถียงกันโดยบริสุทธิ์ในเรื่องของสถาบันกษัตริย์”

นายดั๊ก แบนดาว ผู้เขียนยังอ้างรายงานของ แบร๊ด แอดัมส์ แห่งองค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ด้วยว่า “การเคารพต่อเสรีภาพพื้นฐานและหลักประชาธิปไตยในประเทศไทยตกต่ำเหมือนดิ่งลงเหวที่ไม่มีก้นบึ้ง”


จึงปรากฏว่าช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมานี่เอง ท่านผู้นำพูดข่มขู่สื่อสิ่งพิมพ์ฉบับหนึ่งอย่างก้าวร้าว “แต่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับ เขียนวิจารณ์ไปหมดไม่ว่ารัฐบาลไปไหน” ท่านว่า

"ผมอดทนมานาน เป็นไร บ้าหรือไง ไม่ว่าใครเป็น ด่าทั้งหมด แล้วมันจะดีตรงไหนวะ ผมไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห ทำให้เสียกริยา เสียมาดผู้นำหมด คราวนี้ผมจะปิดจริงๆ ไม่งั้นจะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม มาตรา 44 ใช้ในทางสร้างสรรค์...”


อันว่ามาตรา ๔๔ นี้เป็นอย่างไรถึงได้เกรงกลัวกันนัก คงต้องเรียนรู้จากท่านรองนายกฯ ที่เขียนมากับมือ

นายวิษณุ เครืองาม ไขข้อข้องใจไว้ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมว่า 

“แบบแผนของการมีมาตรา 44 นี้มีมาในอดีตทุกครั้งที่มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยมองว่าการที่องค์กรยึดอำนาจยังคงต้องอยู่ต่อ แล้วไม่มีอำนาจพิเศษไว้ในมือ ในบางสถานการณ์ก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ ลงท้ายก็ต้องเกิดการยึดอำนาจซ้อนขึ้นมาอีก”

และนี่เป็นเนื้อสันในของมาตราที่เลียนแบบ (แต่คนเขียนว่าไม่เหมือน) มาตรา ๗ ของประกาศคณะปฏิวัติยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ว่า “ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทําหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นที่สุด”

แล้วที่ท่านผู้นำบอกว่าจะใช้อย่างสร้างสรรค์ก็คงไปตามร่องในคำให้สัมภาษณ์ของท่านรองฯ นั่นแหละว่า “อนาคตต้องติดตามว่า คสช.จะใช้ประกาศิตนี้ในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย ส่งเสริมหรือกำราบ เป็นเหมือนดาบที่มีสองคม”

กับ “วิธีใช้อำนาจในมาตรา 44 คงไม่ใช่อำนาจประจำวัน หรือนึกจะใช้ก็ใช้ได้ หากไม่เขียนไว้ก็ไม่ได้ เพราะบางเรื่องกฎหมายที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แต่มีแล้วจะใช้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง” ชัดเจนนะ

แน่นอน ใช้ประกาศิตทางสร้างสรรค์ทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นรับสนองพินอบพิเทาทันควัน แม้จะด้วยสำนวนเหน็บแนมนิดๆ

เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้หายเหนื่อยในการที่อุตส่าห์เสียสละเวลาเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ไม่ว่านโยบาย พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่”

“และหวังว่าพลเอกประยุทธ์จะได้นำกฏอัยการศึกที่มีสิทธิ์เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปจัดการในเรื่องทางสังคม...โดยอยากให้นำไปจัดการกับคนพวกนั้นโดยเด็ดขาด แทนที่จะเสียเวลานำมาใช้กับสื่อเล็กๆ อย่างเรา”

ซึ่งในเรื่องทางสังคมที่อ้างก็เป็นเพียงผลข้างเคียงจากอาการอกหักอักเสบที่เกิดขึ้น ทั้ง “โครงการรับจำนำข้าว, ราคายางพาราตกต่ำ, การถอดถอนนักการเมือง...และการละเมิดหมิ่นสถาบัน” เป็น agendas ของฝักฝ่ายทางการเมืองที่เรียกร้องไว้แล้วไม่ได้อย่างใจ

จากการก่อกวนอย่างหักหาญและรุนแรง จัดตั้งเวทีประท้วง ปิดถนน ปิดพื้นที่ ทำร้ายผู้สัญจรบาดเจ็บถึงขั้นสาหัส ทอดสะพานให้คณะทหารเข้าทำการยึดอำนาจในที่สุดนั้น

แท้จริงเป็นประเด็นหนังหน้าไฟสำหรับฝักฝ่ายดังกล่าวใช้อ้างสร้างภาพสำหรับเกาะขบวนอำนาจนอกระเบียบ แต่ก็ผิดหวังเมื่อคณะทหารยึดอำนาจได้แล้วแค่เต้นไปตามเพลง คืนความสุข ลงมือกันจริงตรงที่การเงินงบประมาณ เร่งผ่านออกมาแล้วเกือบสี่แสนล้านบาท อีกทั้ง โปรดเกล้าฯ เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มหัวหน้า คสช. ประธาน สนช. เดือนละกว่าแสน
 
ซ้ำร้ายพวกลิ่วล้อเสือสิงห์ที่ติดขบวนเกิดทำเลินเล่อตกหล่นให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกรณีจ่ายค่าไมโครโฟนทำเนียบรัฐบาลสูงลิบลิ่ว กับการจัดสร้างหนังสั้นส่งเสริมค่านิยม ๑๒ ประการของบิ๊กตู่ ที่ มล.ปนัดดา ดิสกุล ไม่รู้ไม่ชี้ หรือการที่กรรมการ กสทช. พากันตัดสูทราคาเรือนแสน


อันเป็นที่มาของการแก้เกี้ยวโหนกระแสการบังคับคนให้จงรักภักดีบนผืนนภากาศของการสื่อสารไร้พรมแดน

ในจริตวิธีของรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ที่สื่อสารบนหน้าเฟชบุ๊คอย่างจัดจ้านทีเดียวว่า "เกิดมาเป็นคน อย่าทำตนหนักแผ่นดิน" นั่นไม่เป็นผลดีกับตัวผู้โพสต์เองและจุดหมายในการรณรงค์เชิดชูสถาบันฯเท่าไรนัก จึงมาถึงบทบาทของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติบ้าง

โดยนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการเปิดเผยว่า “กสทช. จะเชิญเฟชบุ๊คประเทศไทยร่วมหารือเพื่อหาแนวทางป้องกัน รวมทั้งดำเนินการกับผู้โพสต์ข้อความหรือเนื้อหาที่เป็นการหมิ่นสถาบันฯ” ในวันที่ ๒๙ ธันวาคม แต่แล้วการปรากฏว่า
 
เฟซบุ๊ก ไม่ได้มา และไม่ได้ส่งตัวแทนร่วม บอกเพียงว่าไม่ว่าง” ไปร่วมหารือในวันดังกล่าวแต่อย่างใด

เรื่องนี้เลยกลายเป็น ‘talk of the (Thai cyber) town’ อาทิ เครือข่ายพลเมืองเน็ต @thainetizen บอกว่า “ในภาวะที่สถานะองค์กร​ระส่ำ กสทช. จึงแสดงออกให้สังคม​​เห็น​ว่า​ตัวเอง​ยัง​ สำคัญ ด้วย​การ​ โหนเจ้า บอกว่า​ตน​ปิดเว็บได้เร็วกว่า ก.ไอซีที​นะ” 
  
ร้อนถึงกรรมการคนดัง Supinya Klangnarong @supinya ต้องออกมาแก้ต่างเป็นขบวนยาว เธอว่า ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ อำนาจในการปิดเว็บเป็นของกระทรวงไอซีที โดยต้องผ่านศาล เว้นแต่ใช้อำนาจ คสช. ผ่านกฏอัยการศึก ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่าน กสทช.”

“ถ้าเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า *สนง.กสทช.* จะมีส่วนร่วมในการสั่งปิดเว็บ แต่ในทาง กม.หรือทางปฏิบัติก็คงไม่ต่างจากที่กระทรวงไอซีทีทำมา”

“โดยเฉพาะการจะปิด social media หรือ fb คงเป็นปัญหาโลกแตกพอสมควร ทางออกเดียวจริงๆ คือรัฐไทยอาจต้องสร้าง social network ของตนเอง งดใช้ fb ไป”

“แม้แต่ประเทศที่เขาใช้ model การปิดกั้นทั้งระบบ แต่คนเขาก็รู้กันเองทางเทคนิคว่า ถ้าจะเข้าใช้ social network ของ ตปท. จะต้องทำอย่างไร”

สรุปว่าคราวนี้ กสทช. ก็ หน้าแตกโดยมีดร. Pavin Chachavalpongpun มาช่วย ไม่ เย็บอีกคน

“ขอ Facebook ช่วยบล็อคเพจหมิ่นเจ้า ขอ Google ช่วยหารายละเอียดคนหมิ่นเจ้า ขอ YouTube ปิดวีดีโอหมิ่นเจ้า ขอ Twitter เซ็นเซอร์ข้อความหมิ่นเจ้า ขอ Instagram ไม่ลงรูปหมิ่นเจ้า ขอ Line ให้ให้ข้อมูลคนหมิ่นเจ้า....ไม่สำเร็จซักรายครับ"

โดยเฉพาะรายกูเกิ้ลและยูทู้บ มีข้อเท็จจริงออกมายิ่งกว่าหน้าแตก ตามข้อมูลแท้จริงไม่เขรอะจาก Google Transparency Report เผยออกมาว่าช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคมเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลไทยขอให้กูเกิ้ลลบเนื้อหาที่อ้างว่ารับไม่ได้ถึง ๑๑ ครั้ง (ซึ่งแต่ละครั้งอาจมีมากมายหลายรายการด้วยกัน) จึงเป็นผลให้รายการยูทู้บที่ทางการไทยขอให้ลบในช่วงนี้มีถึง ๒๙๘ รายการ

ข้อสำคัญในเรื่องนี้อยู่ที่ กูเกิ้ลปฏิเสธไม่ทำตามที่รัฐบาลไทยร้องขอแม้แต่ครั้งเดียว

ถึงแม้ว่าสองสามปีก่อนหน้านั้น (ค.ศ. ๒๐๑๑) กูเกิ้ลยอมปิดกั้นไม่ให้คนเข้าถึงวิดีโอยูทู้บ ๑๐๐ รายการ แต่ไม่ได้ลบออกหมดตามที่รัฐบาลไทยร้องขอ ทั้งนี้ให้เหตุผลว่าเพื่อแสดงสัมมาคารวะต่อกฏหมายท้องถิ่น

นอกเหนือจากนี้ยังมีการขอทราบรายละเอียดส่วนตัวผู้ใช้บัญชีกูเกิ้ล ๑๙ ราย ที่กูเกิ้ลไม่ยอมทำตามอำเภอใจรัฐบาลไทยอีกเช่นกัน รวมทั้งการร้องขอจากสมาชิกสภาของไทยรายหนึ่งให้ลบเนื้อความที่เกิดจากผลการเสาะหาข้อมูลด้วยกูเกิ้ล อ้างว่าเป็นเนื้อความที่ทำให้ตนเสียหาย แต่กูเกิ้ลไม่อาจให้เกียรติสำหรับการนี้ เพราะหากทำไปก็เท่ากับเป็นการลบทั้งหมดทั่วโลก ทำไม่ได้

ด้วยลักษณะการกระทำที่ไม่ต้องครรลองสากลเหล่านี้ ดร.ปวินถึงได้ย้อนถามเอากับทางการไทยว่า “...มันบอกอะไรกับเรา?

...มันบอกว่า ไม่มีประเทศไหนเค้าแคร์เรื่องนี้ มันยังบอกด้วยว่า ต่างประเทศเค้ากลับเห็นว่ามันเป็นการล่าแม่มด (witch hunt) และละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดร.ปวินย้อนแย้งให้อีกว่า “...มีทางเดียวครับ รัฐบาลไทยต้องบล๊อคมันให้หมดไอ้พวกโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย ไม่ต้องอยู่ร่วมกับนานาประเทศ ไม่ต้องตามกระแสโลกาภิวัฒน์ หากต้องการปกป้องสถาบันจริงๆ คนไทยต้องยอมเสียสละ (sacrifice) การอยู่ร่วมกับชาวโลกในโซเชี่ยลมีเดีย...ทำได้ไหม?

คำตอบโดดเดียวคือ “ทำไม่ได้” ดังที่คุณสุภิญญานั่นเองว่าไว้ “เป็นปัญหาโลกแตก” และรัฐไทยคงจะต้องสร้างเครือข่ายสื่อสังคมของตนเองขึ้นมาใช้แทน แบบเดียวกับจีน ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถเบียดบังหรือไสส่ง Social Network สากลออกไปได้

ตัวอย่างเพิ่งมีให้เห็น กรณีภาพยนตร์เรื่อง The Interview อันเป็นเรื่องราวล้อเลียนผู้นำเกาหลีเหนือที่ถูก hacked ล้วงข้อมูล และข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายกับโรงฉายถ้ามีการปฐมทัศน์ในวันคริสต์มาส จนในตอนต้นบริษัทโซนี่ผู้ผลิตต้องสั่งระงับการฉายรอบแรก แล้วมาเปลี่ยนใจในสองวันก่อนถึงกำหนด หลังจากถูกต่อว่าหนักหน่วงรวมทั้งจากประธานาธิบดีโอบาม่า กระนั้นก็เปิดฉายเฉพาะตามโรงย่อย และปล่อยสตรีมวิดีโอออนไลน์เป็นหลัก

ทั้งที่การเริ่มออกฉายทางอินเตอร์เน็ตพร้อมกับในโรงเป็นครั้งแรกไม่เคยมีการทำอย่างนี้มาก่อน หนังเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง และเหนือชั้นของความน่าทึ่งนั้นก็คือ มีการเข้าชมออนไลน์จากภายในประเทศจีนในวันแรกมากมายถึง ๓ แสนราย แถมข่าวบอกด้วยว่าผู้ชมจีนส่วนใหญ่ถูกใจในหนังเรื่องนี้

จากนั้นก็ไม่เหนือความคาดหมาย ประดากลุ่มคนไทยรักเจ้าเกินกว่าวิสัยของเจ้าเอง ที่ถูกเรียกเหมารวม (stereotype) ว่า สลิ่มได้พากันแสดงอาการ เสล่อออกมา ด้วยการรณรงค์บนหน้าเฟชบุ๊ค ชวนให้เลิกเล่นเฟชบุ๊ค
 
(จากกรณีนี้เลยทำให้ถึงบางอ้อในเรื่องที่มาของคำ สลิ่ม ว่าเป็นสำเนียงเพี้ยนมาจากความหมาย เสล่อ นั่นเอง และเลยเถิดไปถึงประเด็นการใช้คำ ‘unwise’ ในถ้อยแถลงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ที่เป็นปฏิกิริยาต่อการที่รัฐบาลของคณะรัฐประหารไทยแจ้งว่าจะถ่วงเวลาการจัดเลือกตั้งในทางประชาธิปไตยออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี กับจะยังใช้กฏอัยการศึกโดยไม่มีกำหนดสิ้นสุด คำ unwise ในที่นี้จึงเทียบใช้ได้กับคำไทย เสล่อ อย่างพอดิบพอดี)

จำเพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ตั้งชื่อตนว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดินทำการรณรงค์ด้วยการ “ตั้งประเด็นคำถามให้สมาชิกเพจแสดงความคิดเห็น โดยคำถามระบุว่า “…ทำธุรกิจด้านสังคมออนไลน์ แต่กลับไม่สนใจงานเพื่อสังคม ประชาชนรู้สึกกันอย่างไรล่ะครับ?…”

คำตอบที่ตามมาประมาณว่า...

“ผิดต่อกฏหมายความมั่นคง บล็อกสักปีก็ดีนะ คนไทยจะไม่ต้องก้มหน้าเดิน”

“ปิดเฟสทำเหมือนจีน กับเกาหลีเหนือ”

“ผมว่าลองขู่แบน เฟสบุ๊ค ดู น่าจะมีการขยับตัวมั้งหละ คนไทยใช้กันหลายล้านคน”

“ต้องทำเหมือนจีนที่เขียนโปรแกรมใช้เองแล้วปิดไม่ให้ใช้ FB

(Expletives) ปิดเฟสเลยก็ได้ ไม่ใส่ใจ ด่า (...) หมิ่นเจ้า เคยแจ้งไป มันบอกเหตุผลเราไม่เพียงพอ ปิดเฟสไปเลยก็ดี เมื่อก่อนไม่มีเฟสอยู่ได้ ไม่ตายนิ”

อันองค์กรเก็บขยะแผ่นดินนี้มีผลงานการไล่ล่าคนไทยที่แสดงออกถึงจิตสำนึกประชาธิปไตย โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์ และขจัดผู้เห็นต่างอย่างหนักหนาสาหัสมาแล้ว กลุ่มคนรักเจ้าแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปี ๒๕๕๗ นี่เอง โดย พล ต. นพ. เหรียญทอง แน่นหนา อ้างว่า “มีอดีตข้าราชการทหารกว่า 30 นายเข้าร่วมด้วย" และมีเป้าหมายสำคัญว่า
 
เบื้องต้นคือต้องจับพวกตัวเล็กๆ ต้องเล่นให้หนัก

ก็พอดีพวกที่โดน เล่น หนักบนหน้าเฟชบุ๊คหลายคน (ไม่ทราบว่าตัวเล็กๆ กันแค่ไหน) ได้ร่วมมือกันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายม้าร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟชบุ๊ค ชี้แจงให้ทราบว่ามีกลุ่มคนไทยจำนวนหนึ่งที่อาศัยความใจกว้างและไม่เล่นพวก (impartial) ของบริการเฟชบุ๊ค เอาเปรียบผู้ใช้อื่นๆ

กระทำการระดม ถล่มร้องเรียนเพื่อให้ระบบปิดหน้าชั่วคราวโดยอัตโนมัติของเฟชบุ๊ค ก่อผลร้ายในการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้ที่รักประชาธิปไตย และการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลของผู้ใช้เฟชบุ๊คที่ยึดมั่นในหลักการ “ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก”

จดหมายเปิดผนึกนี้ได้นำลงเป็นหน้าเฟชบุ๊คให้สาธารณะชนเข้าไปรับรู้ และ/หรือร่วมลงชื่อ แสดงความชอบใจ เสนอข้อคิดเห็นกันได้ ประดุจบัญชีหางว่าว ผู้ที่สนใจเข้าไปดูได้โดยผ่านการลงบัญชีหน้าเฟชบุ๊คส่วนตัว ตามลิ้งค์นี้'ถึงคุณมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จากผู้ใช้เฟซบุ๊คที่เชิดชูประชาธิปไตยชาวไทย'
 
และนี่จะเป็นกิจกรรมระทึกในช่วงเปลี่ยนผ่านจากปีเบ๊ไปสู่ปีแบ๊ะ

 
Somsak Pakdidech ถึงคุณม้าร์คที่รักยิ่งยวด

พวกเราในรายชื่อหางว่าวต่อท้ายนี้ใคร่เรียนขอความกรุณาคุณช่วยหน่อย

เนื่องแต่พวกเราเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากหน้าเฟชบุ๊ค อันเป็นผลิตภัณฑ์จากการคิดค้นอันล้ำเลิศของท่าน ทำให้ได้ส่งข่าวคราว สื่อสาร แบ่งปันภาพ เสียง และเรื่องราวลายลักษณ์ กันเป็นประจำและติดยึด ประดุจส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นความสุขที่ได้รับทราบ เรียนรู้ และแจกจ่ายกันในหมู่คนที่เข้าใจและรับได้ จนไม่คิด ไม่อยากที่จะต้องยอมสละ หรือผละหรือละไป

แต่ในความเป็นมาเกิดปัญหาบางประการ สมาชิกหลายท่านถูกปิดบัญชีเสียสิทธิ์ไปโดยไม่ต้องการเช่นนั้น หากแต่มีสมาชิกอื่นบางคนใช้วิธีการ (‘หามหมู่’) รุมถล่ม เอาเปรียบจากข้อระเบียบการรับคำร้องแจ้งเท็จโดยอัตโนมัติต่อผู้ใช้บัญชีที่ตนเองไม่พอใจ และที่ร้ายมากในกรณีประเทศไทย มีกลุ่มการเมืองคลั่งเจ้าดำเนินงานกันอย่างเป็นขบวนการ โหมกระหน่ำแจ้งเอาผิดต่อผู้เห็นต่างหรือคิดอย่างตรงข้าม เช่นนี้ทำให้พวกเราจำนวนไม่น้อยเสียประโยชน์ไปโดยมิควร

จดหมายฉบับนี้เป็นการวิงวอนให้ท่านทำการปรับกฏระเบียบและกระบวนดำเนินงานเพื่อสนองคำร้องเรียนสักเล็กน้อย มิให้พวกเราถูกกลั่นแกล้งให้ร้าย มุ่งหมายทำลายจากขบวนการคลั่งเจ้าดังกล่าว ที่บ่อยครั้งมีลักษณะหยาบคาย ก้าวร้าว ไปถึงขั้นรุนแรง ดังรายละเอียดที่ระบุไว้ในจดหมาย (English version) ฉบับนี้แล้ว”

สุขีปีใหม่ สำหรับใครต่อใคร นะครับ