วันพุธ, กุมภาพันธ์ 25, 2558

พุทธอิสระ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ชาวเน็ตมีความเห็นว่า...นายสุวิทย์...เป็นคนดีให้ได้ก่อน แล้วค่อยอยากเป็นอย่างอื่น



“พุทธะอิสระ” นั้น ตามประวัติที่มีการเผยแพร่ต่อๆกันมา คือเดิมชื่อ “นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ” เป็นชาวคลองเตย กรุงเทพมหานคร แต่กำเนิด บวชครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดคลองเตยใน เขตคลองเตย บวชได้เพียงพรรษาเดียว ก็สึกออกไปเป็นทหาร 2 ปี หลังเสร็จภารกิจทางทหาร ก็กลับมาบวชใหม่ที่วัดเดิม ได้รับฉายาว่า “ธมฺมธีโร”

แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก “พุทธะอิสระ” ก็ต้อง “สึก” และ “บวช” ใหม่อีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งว่ากันว่า เป็นเพราะกรณีครหา กรณีการ “สึก” ของ “พุทธะอิสระ” หรือขณะนั้นคือ “พระอธิการสุวิทย์ ธีมมฺโม” นั้นเป็นข่าวใหญ่คึกโครมในปี 2544 โดยมีสาเหตุใหญ่มาจากการพบหลักฐาน กรณี “ตำแหน่งเจ้าอาวาส” กับ “ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลห้วยขวาง (วัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม)” ที่พระสุวิทย์ดำรงอยู่นั้นระบุ “อายุพรรษา” แตกต่างกัน โดย “ใบตราตั้งเจ้าอาวาส” ระบุว่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี 2538 ขณะมีอายุ 35 ปี 11 พรรษา แต่ในปี 2542 ได้รับการแต่งตั้งเป็น “เจ้าคณะตำบล” กลับมีอายุ 44 ปี 21 พรรษา 

ซึ่งระยะเวลาห่างกัน 4 ปี คือ พ.ศ.2538 ถึง พ.ศ.2542 แต่กลับมีการระบุ “อายุ” คลาดเคลื่อนกันไปถึง 5 ปี และ “พรรษา” ต่างกัน 6 พรรษา

นอกจากนี้ยังพบว่า สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งนั้นมีเค้ามาจาก “การบิดเบือนคำสอนที่เน้นเชิงอัตโนมัติ ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก” ซึ่งพระผู้รู้ ในขณะนั้นหลายฝ่ายได้ออกมาท้วงติงกันเป็นจำนวนมาก

จนกระทั่งในงานอบรมพระวิปัสสนาจารย์ที่วัดตะกู จ.นครปฐม ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ในช่วงหนึ่งที่ “พระศรีรัตนโมลี” รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม พระวิปัสสนาจารย์นครปฐม รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ได้บรรยายธรรมพาดพิง “พระสุวิทย์” ว่า “บิดเบือนคำสอนพระพุทธศาสนา” 

ซึงเมื่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในพื้นที่นครปฐมลงตีพิมพ์ข่าวนี้ “มูลนิธิอิสระธรรม วัดอ้อน้อย” ก็ออกมาปกป้อง “พระสุวิทย์” ทันที โดยดำเนินการฟ้องร้อง “พระศรีรัตนโมลี” และหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นทันที

จากนั้น “พ.อ.(พิเศษ) ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์” นักจัดรายการวิทยุคลื่นหนึ่ง ที่จัดรายการเกี่ยวกับธรรมะ ได้ยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบ “ใบตราตั้งเจ้าอาวาส” และ “ใบตราตั้งเจ้าคณะตำบล” ของ “พระสุวิทย์” ที่มี “อายุและพรรษา” แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เรื่อง “ครหาโกงอายุพรรษา” เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่พุทธศาสนิกชน

เมื่อเรื่องฉาวเริ่มบานปลาย “พระสุวิทย์ ธีมมฺโม” หรือ “พุทธะอิสระ” จึงตัดสินใจ “ประกาศลาสิขาบท (สึก)” จากการเป็น “พระ” !!! 

โดยมีรายงานข่าวหลายสำนักว่า เมื่อ “พุทธะอิสระ” ได้มีการประกาศว่าจะ “ลาสิขาบท” แล้ว ก็ได้ไปเก็บตัวเงียบที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมาทำพิธี “ลาสิขาบท (สึก)” ในวันที่ 31 ธันวาคม 2544 และทำพิธีอุปสมบท หรือบวชใหม่ ในวันเดียวกันนั้นทันที !!! 

ซึ่งการกระทำลักษณะนี้สร้างความสับสนให้กับ “พุทธศาสนิกชน” ในขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะนับเป็นเหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์สงฆ์ของไทย เนื่องจากหลายฝ่ายเป็นห่วงว่า อาจจะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” สำหรับ “พระสงฆ์” ที่มีข้อครหาติดตัว ก็จะ “สึกแล้วบวชใหม่” เพื่อให้เรื่องที่ถูกครหานั้นยุติ !!!

นอกจากนี้การ “เก็บตัวเงียบ” ก่อนที่จะ “ทำพิธีสึก” ก็เป็นอีกหนึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ “นักการศาสนา” อย่างกว้างขวาง

ไม่เพียงเท่านั้น จากการตรวจสอบยังพบว่า “พุทธะอิสระ” หรือ “นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ” นั้นสนิทสนมเป็นอย่างยิ่งกับ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยขณะที่ “พุทธะอิสระ” เผชิญวิกฤติ ครหา “โกงอายุพรรษา” และหายหน้าออกจากวัดอ้อน้อยไปเก็บตัวอยู่ในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี นั้น “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ได้ช่วยเหลือให้ “พุทธะอิสระ” ได้ชี้แจงเรื่องฉาวต่างๆ ผ่านการสัมภาษณ์รายการ “คารวะแผ่นดิน” ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 97.5 MHz ที่ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นผู้ดำเนินรายการ

นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ยังเป็นผู้บริจาคเงินให้ “พุทธะอิสระ” เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท ในการก่อสร้าง “โรงเจหอคุณธรรมฟ้า” หรือ “เทียนหงี่ตึ้ง” วัดอ้อน้อย ในปี 2545 ด้วย

นอกจากนี้ ได้ตรวจสอบพบว่า “พุทธะอิสระ” ตั้งเป้าหมายสูงสุดในชีวิต และเป้าหมายสูงสุดในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เอาไว้อย่างชัดเจนและประกาศต่อสาธารณะเอาไว้ก่อนหน้านี้คือ ปรารถนาที่จะเป็น “พระพุทธเจ้า” ในอนาคต !!!


...

https://www.youtube.com/watch?v=GRWVrCVIv2I&feature=youtu.be



บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ

1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ

2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป

3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข

4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น

5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ

สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือo สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นo ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้วo ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้นo อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง

6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ

7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้

8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน

9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก

10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น....
...

"พุทธะอิสระ"ถอนมวลชนกลับ หลังรีดไถเงินเอสซีปาร์คจ่ายค่าเสียเวลา


ที่มา พันทิป

20 ก.พ. 57 - "พุทธะอิสระ" ถอนมวลชนกลับ หลังผจก.โรงแรมเอสซีปาร์คควักจ่าย 1.2 แสนบาทเป็นค่าเสียเวลา

โรงแรมเอสซี ปาร์ค -20 ก.พ.57 เมื่อเวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลวงปู่พุทธะอิสระได้ขอเข้าไปใช้ห้องน้ำในโรงแรม

ในฐานะแขกที่จ่ายเงินจองห้องพัก โดยนายเอกวิทย์ ออกเวหา ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมเอส ซี ปาร์ค

ได้ยอมให้เข้ามาภายในโรงแรม เพราะหลวงปู่ฯยืนยันจะขอเข้าห้องน้ำโรงแรม ต่อมาผู้จัดการโรงแรมได้แจ้งหลวงปู่ฯว่า

จะขอปิดให้บริการโรงแรม เพราะแขกที่เข้ามาพักตกใจกลัว โรงแรมต้องเลือกให้ความสำคัญกับแขกที่เข้าพักอยู่ในโรงแรมก่อน

แต่หลวงปู่ฯ ยืนยันจะเข้าพักและระบุว่าหากแขกของโรงแรมกลัวจะเช็คเอาท์ผู้ชุมนุมก็จะขอจองห้องพักทั้งหมดแทน

แต่ผู้จัดการโรงแรมยืนยันที่จะปิดให้บริการ

ต่อมาหลวงปู่ฯเรียกค่าเสียหายและค่าเสียเวลาเป็นเงิน 120,000 บาท
เพื่อนำไปเป็นค่าน้ำมันรถ 40 คัน เป็นเงิน 40,000 บาท รถบัสอีก 8 คัน เป็นเงิน 80,000 บาท
โดยโรงแรมจะขอจ่ายเป็นเช็คเงินสด แต่หลวงปู่ฯยืนยันจะขอรับเป็นเงินสดเท่านั้น
ทำให้ผู้จัดการโรงแรมต้องนำเงินสดมาจ่ายจนครบ จากนั้นหลวงปู่ฯได้ทวงเงินจองห้องพัก 4,200 บาท
ที่จ่ายไปก่อนหน้านี้ ทำให้พ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสวัสดิ์ ต้องยุติปัญหาด้วยการควักเงินจ่ายให้เอง
เป็นเงิน 4,000 บาท ทำให้ผู้ชุมนุมพอใจและเคลื่อนขบวนตามหลวงปู่ฯกลับมาปักหลักชุมนุมที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ


ชมนาที หลวงปู่พุทธะอิสระ รีดไถ่ทรัพย์-นับเงินจาก โรงแรมเอสซี ปาร์ค แสนสอง!!
https://www.youtube.com/watch?v=5_xhLu8TtO0

...


ดิฉันเป็นชาวพุทธที่นับถือสงฆ์ทุกสำนัก แม้ไม่ได้เป็นสาวกของ พระอาจารย์ยันตระ สำนักธรรมกาย สันติอโศก ท่านจันทร์ หรือ ท่านอื่นใด แต่ก็ไม่เคยคิดลบหลู่ เป็นศัตรูท่านใด เพราะชาวพุทธแบบดิฉัน เชื่อเรื่องการบำเพ็ญ สะสมบารมีเพื่อการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่าเจ้าสำนักทุกแห่งน่าจะปรารถนาพุทธภูมิ คือมุ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และมีคณะศรัทธาที่เป็นบริวารตนเอง ตามมาร่วมบุญ แต่ละที่จึงมีศิษย์มากบ้าง น้อยบ้างต่างกัน ท่านที่วาสนาแก่กล้าก็บำเพ็ญดีตลอดสมณเพศ ทางพระนิพพานก็ใกล้เข้า ที่วาสนาน้อยก็อาบัติ สึกหาลาเพศไป ต้องนับหนึ่งใหม่ พระนิพพพานก็ห่างไกลไป แต่บางคนที่ปราชิกไปนานแล้ว ยังพาบริวารไประราน สำนักอื่นนี่ เป็นการพาพวกไปอเวจีเหมือนเทวทัต ช่างไม่สำนึกเลย พระเทวทัตเก่งขนาดเหาะได้ ยังไม่พ้นนรกเลย นี่ไปใหนมาใหน ไร้บุญรักษา ต้องใข้ทหารถืออาวุธคุ้มกะลาหัว ยังไม่เลิกเลว


ผุสดี งามขำ


ผู้หญิงเสื้อแดงคนสุดท้ายที่ออกจากการสลายการชุมนุมปี53
ที่มา facebook ผุสดี งามขำ
https://www.facebook.com/oilcharun/posts/1098115493547419