วันพุธ, พฤษภาคม 06, 2558

UDD Thailand ได้มีโอกาสนั่งคุยกับหนึ่งสาว Peace TV หญิง อรุโณทัย ศิริบุตร ลองฟังทัศนะของเธอ




หลังการปิดของสถานีโทรทัศน์ Peace TV เราได้เห็นสี่สาวผู้ประกาศมีบทบาทในการเป็นตัวแทนขอความเป็นธรรม และวันนี้ UDD Thailand ได้มีโอกาสนั่งคุยกับหนึ่งสาว หญิง อรุโณทัย ศิริบุตร ลองฟังทัศนะของเธอ

ก่อนจะมาทำงานเป็นผู้ประกาศพีซทีวี หญิงทำอะไรมาบ้าง

-หญิงทำเยอะมากเลยค่ะ พอเรียนจบ ฝึกงานหญิงก็ได้ทำงานเลย ตอนนั้นหญิงทำงานข่าวบันเทิงให้กับ Production house ที่ผลิตรายการบันเทิงให้กับช่อง 5 และช่อง 3 ทำรายการศิราณีที่พี่แหม่ม จินตราเป็นพิธีกร หลังจากนั้นก็ทำรายการบันเทิงที่มีพี่แหม่มเหมือนกันที่ตอนนี้ไปอยู่ที่โต๊ะข่าวบันเทิงช่อง 3 หลังจากนั้นหญิงก็ทำสายบันเทิงมาต่ออีกปีนึง แล้วก็เปลี่ยนงานเพราะรู้สึกชีวิตมันเดิมมาก ถือไมค์วิ่งตามดารา เปลี่ยนมาทำงานพีอาร์ค่ายเพลงเป็นค่ายเล็กๆชื่อว่า “บัตเตอร์ฟลายเรคคอร์ด” ทำไปซักพักก็รู้สึกว่างานนี้ไม่ใช่ตัวเองอีก มีอยู่ช่วงนึงที่พี่ที่ทำงานพีอาร์ค่ายเพลงมาชวนให้ไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวไทเทเนี่ยม แต่ก็ไม่เอาดีกว่าเพราะรู้สึกว่างานบันเทิงอิ่มตัวแล้ว หญิงก็เลยมาทำ AE ของนิตยสารหุ้นเพราะคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าสนใจ ใช้เวลาหาตัวเองมานานเหมือนกัน แต่ว่าเมือ่ไหร่ที่รู้สึกว่าไม่มีความสุขกับการทำงานก็จะหยุดและก็ไม่ทำ ทำ AE นิตยสารหุ้นชื่อ “Stock Focus” อยู่เกือบปี แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่งานที่ตนเองชอบอีก ก็เลยเริ่มมานั่งคิดว่างานอะไรที่เหมาะกับตัวเอง และงานอะไรที่ยิ่งทำแล้วยิ่งอายุเยอะขึ้น ความน่าเชื่อถือยิ่งมากขึ้น ผู้ประกาศข่าวคือคำตอบ

หญิงเลยเริ่มไปสมัครช่องกระแสหลักทั้งหมดเลย ก็มีช่อง 9 ที่เรียกไปให้เป็นนักข่าวภูมิภาคที่อยู่ที่สามจังหวัด ซึ่งถือว่าหนักมากสำหรับตัวเอง ก็เลยปฏิเสธไป ตอนนั้นก็ไปเข้าโครงการของไทยพีบีเอสที่รับสมัครผู้ประกาศข่าวหน้าใหม่ New Gen หญิงก็ไปสมัคร ก็เข้ารอบจากรอบแรกที่มีคนสามพันกว่าคน เข้ามาเรื่อยๆจนเหลือ 11 คน ช่วงนั้นช่อง 5 ก็เปิดพอดีหาผู้ประกาศหน้าใหม่ก็ไปสมัครช่อง 5 ก็เข้ารอบไปถึงรอบต้นๆที่เขาจะคัดเลือกแล้ว แต่ก็มีเพื่อนที่มีพ่อเป็นนายพลอยู่ที่นั่นเล่าให้ฟังว่า มาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว แต่ไม่ต้องมาแล้วล่ะ เพราะเขามีตำแหน่งที่เลือกคนเอาไว้แล้ว

และในระหว่างที่กำลังเตรียมตัวเพื่อไปคัดเลือกรอบสุดท้ายที่ไทยพีบีเอส ตอนนั้นก็มีสำนักข่าวสำนักนึงที่เปิดขึ้นมาเป็นเคเบิลทีวี เป็นทีวีดาวเทียมโทรมาหา หญิงก็แปลกใจว่าเอาชื่อเรามาจากไหน ก็มีพี่คนนึงอธิบายว่า เขาเคยอยู่ที่ช่อง 9 เห็นประวัติเราเขาเลยสนใจ ก็เลยเรียกให้มาทดสอบผู้ประกาศ ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะเปิดเป็นทีวีแบบไหนยังไง แต่คลำทางดูก็น่าจะรู้ว่าเป็นทีวีการเมืองจากคำสัมภาษณ์ สัมภาษณ์โต๊ะกลมประมาณ 15 คน ถามว่าชอบนายกฯคนไหน อะไรยังไง แล้วเขาก็บอกว่าแนวโน้มน่าจะได้ หญิงก็แปลกใจมากเลยว่าจะได้ได้ยังไงเพราหญิงไม่รู้เลยว่านี่คืออะไร ก็ด้วยคำตอบที่ว่าชอบนายกฯคนไหน พอมารู้ว่าเราได้ เป็นเคเบิลทีวีที่ทำเกี่ยวกับการเมือง วันนั้นเป็นวันที่หญิงตัดสินใจตัวเองว่าจะเลือกเส้นทางไหนระหว่างหนึ่งคือไปไทยพีบีเอสซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้หรือเปล่า กับถ้ามาที่นี่ก็คือได้ทำเลย หญิงก็มานั่งทบทวนว่า ถ้าเราไปที่ไทยพีบีเอสหนึ่งคือเราเป็นเด็กใหม่ไม่มีประสบการณ์เรื่องงานข่าวมาเลย โอกาสเราก็น่าจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าเราเลือกแล้วเราพลาด โอกาสเราจะมีอีกหรือเปล่าไม่รู้ แต่นี่คือทีวีอีกช่องหนึ่งที่เป็นทีวีดาวเทียม และเขาเริ่มต้นใหม่ การที่เราเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมๆกับการที่ตัวเองไม่มีความรู้เรื่องข่าวน่าจะดีกว่า โอกาสน่าจะเยอะกว่า หญิงเลยเลือกมาที่นี่ และมารู้ทีหลังว่าที่นั่นคือดีสเตชั่น ซึ่งก็คือทีวีเสื้อแดงนั่นเอง ก็ทำมา เรียนรู้การเมือง ตอนแรกหญิงไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นงานที่อยู่ได้นานและชอบ เพราะหลังจากที่หญิงออกจากนิตยสารหุ้นมา หญิงก็ไปช่วยรุ่นพี่ทำบริษัทยา และก็ทำที่ดีสเตชั่นด้วย พอยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกรัก และก็ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เรียนรู้ความเป็นเสื้อแดงในตอนนั้น ว่าเสื้อแดงคืออะไร เสื้อแดงเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เขาเรียกร้องอะไร ทำไมคนถึงยอมที่จะทิ้งบ้านตัวเอง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ

พอเริ่มทำงานมาเรื่อยๆก็เริ่มรู้ เริ่มเรียนรู้ และหญิงก็รักจนกลายเป็น ถ้าหญิงจะบอกว่าเป็นจิตวิญญาณก็ใช่ ตอนนี้หญิงก็ยังตอบเพื่อนไม่ได้เลย เพราะตลอดเวลาการเป็นทีวีเสื้อแดงมันล้มลุกคลุกคลานมาตลอด จากดีสเตชั่น มาพีเพิลชาแนล มาเอเชียอัพเดต จนมีเหตุให้ต้องแยกกันมาเป็นยูดีดี จนมาเป็นพีซทีวี คือล้มลุกคลุกคลานกันมาตลอด จนเพื่อนบอกว่า ตัวเลือกในชีวิตมีตั้งเยอะ ทำไมไม่เลือก ไม่รู้ว่าต่อไปมันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะสำหรับคนอื่น แต่มันกลับเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ คือคำพูดที่อธิบายได้ดีที่สุดแล้ว

เราวางตัวลำบากมั๊ยในการที่ถูกมองว่าเป็น “สื่อเลือกข้าง”

-หญิงว่าไม่เชิง ด้วยความโชคดีว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นคนกลุ่มใหญ่ และเพื่อนหญิงก็ไม่ได้มีเพื่อนที่เป็นสื่อมวลชนที่อยู่ในฝ่ายเสื้อแดงอย่างเดียว เสื้อสีอื่นที่อุดมการณ์ทางการเมืองต่างก็มี แต่ก็คุยได้ ตอนแรกก็มีความรู้สึกว่า การมาทำงานที่นี่จะติดหน้าการเป็นเสื้อแดง ไปๆมาๆเราก็มองว่าในกลุ่มความเป็นแดงมันมีหลายกลุ่ม และคนในสังคมส่วนมากที่เขามองด้วยเหตุผลที่เราควรจะแคร์ความรู้สึก เขาค่อนข้างที่จะเข้าใจ ก็เลยไม่รู้สึกว่าวางตัวลำบาก ในบางทียังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าสื่ออื่นด้วยซ้ำ ที่เรามีกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์ด้วยเยอะมากกว่า

ไม่ส่งผลต่อชีวิตปกติใช่มั๊ย

-ไม่เลยค่ะ อาจจะมีบ้างที่หญิงเป็นคนที่ค่อนข้างชอบความอิสระในชีวิตส่วนตัว แต่โดยมากตอนนี้เกือบ 100% ทุกอย่างคืองานหมด ถ้าเวลาไปไหนมาไหน เวลาที่เราอยากใช้ชีวิตสบายๆ เราคือคนๆนึงที่เวลาเหนื่อยจากงานอยากจะพูดอะไรปลดปล่อยได้อิสระ บางทีเราไปในที่ที่ไม่คิดว่าจะมีคนจำเราได้ เราก็จะเกร็งนิดนึงว่าในทีวีเราคือคนนำเสนอข่าว ที่ต้องมีความน่าเชื่อถือ แต่ในมุมที่เราอยากรีแลกซ์เต็มที่ มันมีคนที่มองเรา ก็จะรู้สึกไม่ได้ขึ้นมานิดนึง (หัวเราะ)

ตั้งแต่ทำงานเป็นสื่อมวลชนมามีความประทับใจในเรื่องใดบ้าง

-มันเป็นความประทับใจบวกกับความตกใจ ความตื่นเต้น ตอนนั้นเป็นช่วงการชุมนุมปี 53 ที่ทางแกนนำมีมติออกมาว่าจะมีการรับบริจาคเลือดเพื่อนำไปเทตามจุดต่างๆ ในมุมทางการเมืองเขาคิดในหลายมิติ เพื่อสะท้อนความเป็นคนในอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เขายอมที่จะทำแม้กระทั่งยอมเสียเลือดตัวเอง แต่ในอีกมุมนึง ณ ตอนนั้นที่วุฒิภาวะก็ยังไม่มากพอ และก็ยังไม่เข้าใจประเด็นการเมือง ก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเราเห็นใจคนที่มานั่ง เขาเหนื่อยมากแล้ว ต้องมาอะไรแบบนี้ แต่ทุกคนกลับเต็มใจมาก นั่นคือภาพที่หญิงได้เห็น แล้วโดนคำสั่งให้ไปรายงานสดทุกจุดที่ไปเทเลือด โอ้โห ทุกอย่างในการทำงานสื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ เจอหมดเลย ตั้งแต่ไปเทที่ทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นเสื้อแดงเยอะมาก เบียดกว่าที่หญิงจะเข้าไปในจุดที่จะรายงานได้ โดนจับก้นก็มี มีคนตะโกนร้องให้กำลังใจเชียร์เราก็มี ทีนี้จุดที่หญิงจะต้องรายงานมันมีแบริเออร์กั้นระหว่างผู้ชุมนุม และมีรถโมบายมา และก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในทำเนียบเยอะหลายกองร้อย ตำรวจก็ถือโทรโข่งเพื่อที่จะบอกว่าอย่าเข้ามาซึ่งเสียงดังมาก เสื้อแดงก็เสียงดังมาก ซึ่งตอนนั้นสมาธิทั้งหมดในชีวิตมันต้องมีเพื่อที่จะรายงาน และก็โดนดัน แต่ก็เห็นน้ำใจของพี่น้องคนเสื้อแดง ลุ้นระทึกกับตัวเองว่าจะออกจากที่นี่ได้หรือเปล่า และก็ไปที่หน้าบ้านคุณอภิสิทธิ์ ก็มีผู้หญิงที่ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงจะเข้ามาทำร้าย ในระหว่างที่เรากำลังได้รับสัญญาณว่าต้องรายงานสดนั้น เราก็ช่างมัน ไม่รู้ว่าวินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราต้องทำหน้าที่ของเราไปก่อน และก็ไปที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเตรียมจะรายงานก็ไม่มีอะไร พอรายงานเท่านั้นก็ไปเหยียบรังมดเข้า หญิงก็โอ๊ยชีวิต แต่ก็เป็นช่วงที่นึกถึงแล้วก็ประทับใจมากที่สุดแล้ว

อีกช่วงนึงก็คือช่วงระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศเข้ามาในกรุงเทพ คราวนั้นเราได้เห็นพลังคนเสื้อแดง ได้เห็นการเรียกร้องอย่างสันติแบบหนึ่งที่ โห ยังไม่เห็นใจกันอีก

ในระหว่างทางเดินมาทั้งหมด ทุกวันคือความประทับใจ แต่ว่าถ้าอะไรที่ประทับใจนึกถึงทุกครั้งในการทำงานสื่อมวลชนก็จะมีสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกนั้นก็จะเป็นความสลดใจ ในช่วงสลายการชุมนุม ตอนที่เขาไปที่ผ่านฟ้า หญิงต้องหนีออกมาในช่วงที่ทหารเข้ามาประชิดทุกด้าน และในช่วงที่เริ่มโปรยแก๊สน้ำตา ตอนนั้นทางสถานีได้เช่าโรงแรมเอาไว้เพื่อทำงานตัดต่อ หญิงก็ได้ปีนดาดฟ้าโรงแรมขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เราก็ใจหาย ทุกคนที่ไปทำข่าวด้วยกันก็กันผู้หญิงออกมาหมด เหลือเฉพาะผู้สื่อข่าวผู้ชาย

อันนั้นเป็นการร้องไห้คร้งแรกในการทำงานร่วมกันกับคนเสื้อแดงที่คนไทยกล้าฆ่ากันแบบนี้

ชาวบ้านไม่มีอาวุธ มีทหารมาอาวุธเต็ม ยิงปืนขึ้นฟ้าไรเงี๊ย แต่ตอนนั้นเรามีคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ เพราไม่มีใครช่วยใครได้แล้ว หญิงก็เรียกมอเตอร์ไซด์ออกไปแยก จปร.ซึ่งตอนนั้นกำลังทหารก็กำลังมาและเสื้อแดงก็กำลังกรูมา ออกไปตั้งหลักอยู่ข้างนอกพักนึง จนเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง หญิงก็อ้อมไปทางสะพานพระปิ่นฯ แล้วข้ามสะพานกลับมาแล้วไปที่จุดที่ฮิโรยูกิตาย ที่พี่น้องตายก็ไปเก็บภาพ ทุกวันนี้ยังมีภาพอยู่ในเมมโมรี่ของตัวเองอยู่ ได้เห็นแล้วทุกอย่างเงียบ เงียบมาก แล้วหญิงไปเห็นที่เชิงสะพานพระปิ่นฯฝั่งธน ตรงนั้นจะมีปอเต๊กตึ๊งนั่งกันอยู่ แล้ววอมาแต่ละที คือการไปแย่งศพ มันไม่ใช่การช่วย เพราะทหารก็จะเอา ปอเต๊กตึ้งก็จะพาไปส่งโรงพยาบาล ทุกอย่างโกลาหลมาก พอไปที่ถนนดินสอ ข้าวสาร ไปแล้วเห็นคราบเลือดของคนตาย แล้วคิดว่าทำไมมันแย่มากขนาดนี้ เป็นความประทับใจและความหดหู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าไปทำที่อื่นก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ ยิ่งเห็นยิ่งเป็นแรงผลักดัน มันอาจจะมีบ้างที่เราโดนบางกลุ่มว่ามีกลุ่มที่เป็นแดงผลประโยชน์ นั้นเราก็ไม่ว่า เพราะจุดหมายใหญ่คืออะไร อะไรที่จะบั่นทอนเราเราก็มองข้าม

ทุกวันนี้คนเสื้อแดงถูกโจมตีเยอะ เป็นควายแดงบ้าง เป็นขี้ข้าทักษิณ ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน หญิงคิดว่าจะทำอะไรบ้างที่จะช่วยให้คนเสื้อแดงมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น

-หญิงว่าสิ่งที่สื่อทำได้ และคนเสื้อแดงต้องทำด้วยคือ การรับฟังข้อมูลที่รอบด้าน สิ่งนึงที่ทำให้ถูกมองว่าเป็น”ควายแดง” อาจจะเป็นว่า เรารับข่าวหรือรับข้อมูลโดยไม่กรอง แล้วบางทีข่าวถูกใส่สีตีไข่ บางทีมันไม่เป็นความจริง แล้วมันกลายมาเป็นสิ่งที่มาทำร้ายเราที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเราได้ และก็ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้นที่เป็น กลุ่มอื่นก็เป็นด้วย นี่คือปัญหานึงก็คือการรับรู้ข้อมูลที่ไม่รอบด้าน และสิ่งที่เราจะช่วยได้ก็คือ การทำหน้าที่ของเราบนความรับผิดชอบก็คือนำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา อาจจะมีบ้างบางอย่างที่เรานำเสนอข้อมูลส่วนตัว แต่เราก็บอกว่าในมุมความคิดของเราคือแบบนี้ แต่เป็นการเสนอในมุมที่ชวนให้คิดไปด้วย ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมองในมิติความคิดของคุณว่าถูก แต่เรานำเสนอข่าวที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพื่อที่ให้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การรับรู้ข่าวและการนำเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมา ถามว่ารอบด้านมั๊ย เราพยายามที่จะบาลานซ์ระหว่างหนึ่งแนวความคิดของคนที่อยู่ในมุมประชาธิปไตย และในมุมทางความคิดของคนที่ต่างจากเรา เราก็นำเสนอสองมุมนี้ให้เขาเห็นว่ามีมุมความคิดแบบนี้ นี่คือสิ่งที่หญิงมองว่าเป็นความรับผิดชอบของสื่อที่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตามก็ต้องทำหน้าที่ของตนเอง เพียงแต่ด้วยความที่เรานำเสนอ มันมีสื่อกระแสหลัก ก็คือสื่อที่ดูมาก่อนหน้าที่ 3 5 7 9 ช่องฟรีทีวีนำเสนอข้อมูลอีกมุมสังคมที่คนเสื้อแดงมองว่ายังน้อยเกินไป แล้วเรามาเติมเต็มส่วนนี้ให้กับคนกลุ่มนี้ คนก็เลยมองว่าเราเป็นสื่อเลือกข้าง

แต่หญิงไม่มองว่าตัวเองเป็นสื่อเลือกข้าง เราคือสื่อทางเลือก ประชาชนมีสิทธิที่จะดูหรือไม่ดูเราก็ได้ เพราะรีโมทอยู่ที่มือเขา

เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นความรับผิดชอบที่มากขึ้นของเรา หนึ่งคือนำเสนอในข้อมูลที่เป็นสองมุมให้เข้าได้คิด และถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวเรา ก็เป็นความเห็นที่เราชวนให้คิด โดยไม่ไปใส่สีตีไข่ซะจนบิดเบือนซะจนไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง มันจะเป็นหอกให้คนเสื้อแดงย้อนกลับมาถูกสังคมตราหน้าว่าเป็น “ควายแดง”

หญิงมีไรจะฝากไปถึงคนที่คิดต่าง

-ถ้าพูดไปแล้วจะว่าโลกสวย ไม่ได้โลกสวย หญิงมองว่าไม่ว่าจะเป็นเมืองไทย ต่างประเทศสหรัฐ ปาปัวนิวกินี หรืออะไรก็แล้วแต่ ในโลกนี้ไม่มีประเทศไหนหรือว่าบ้านหลังเดียวหรือใครที่มีความคิดเหมือนกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นถามว่าในบางทีที่เราทำอะไรไป มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาด่าในการกระทำของเรา ความรู้สึกมนุษย์ก็จะมีขุ่นบ้าง โกรธบ้าง แต่เราต้องมายืนอยู่ในความเป็นจริงที่บอกว่า ทุกคนคิดเหมือนกันไม่ได้ เพราฉะนั้นหญิงไม่เคยรู้สึกโกรธเลยกับคนที่เห็นต่าง โดยเฉพาะชอบด้วยซ้ำคนที่เห็นต่างแล้วมีเหตุผลในการอธิบาย เป็นกลุ่มคนที่หญิงให้เกียรติ รับฟัง แต่ถ้ากลุ่มคนที่เห็นต่างแล้วไม่ได้มีเหตุผลการอธิบาย ดีแต่ด่าเอาสะใจ ก็เป็นแค่กลุ่มคนที่เรารู้ว่ามีอารมณ์แบบนี้เท่านั้นเอง ไมได้รู้สึกว่าต้องหยิบมาเป็นสาระสำคัญ แต่ใครก็แล้วแต่ที่มองต่างแต่มีการอธิบาย มีการตั้งคำถาม และตอบคำถามในความคิดและมุมมองในจุดยืนของแต่ละคนที่ต่างกันไปอย่างมีเหตุผลที่รับฟังได้ นั่นต่างหากคือความสวยงามของประชาธิปไตย เพราถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองว่า ความคิดของเราถูกและดีและทุกคนต้องเอาด้วยโดยที่ไม่มีใครมาเห็นแย้ง เราจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นความหลากหลายในโลกนี้

หญิงว่ามันดีนะที่มีแบบนี้ โชคดีที่ไทยมีทั้ง Peace TV บลูสกายหรือฟ้าวันใหม่ มี News 1 หรือทีวี 24 หญิงว่าเป็นความโชคดีหมด เพียงแต่ว่าเราจะทำให้ความโชคดีมีประโยชน์กับเรายังไง โดยที่เราไม่ได้เกลียดกันเพราะมุมมองหรือจุดยืนที่ต่างกัน หญิงว่าตอนนี้อารมณ์ของคนไทยไปไกลจนเราต้องมาหยุดว่า สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยบางทีในมุมที่ถูกต้องของอีกกลุ่มหนึ่ง มันเป็นเพราความรู้สึกส่วนตัวหรือเพราะเหตุผล คำว่าเหตุผลในวันนี้หญิงว่ามันน้อย

ในฐานะที่หญิงเป็นตัวแทนของพีซทีวี รู้สึกอย่างไรที่สถานีถูกปิดและเรามีแนวทางอย่างไรที่จะต่อสู้ในอนาคตต่อไป

-ความรู้สึกคือ รู้สึกเสียใจ รู้สึกคับแค้นใจ ที่เราถูกกระทำ อย่างที่เพิ่งไปเจอกับ UN มา เขาก็ถามว่าพวกคุณรู้มั๊ยว่าทำไมเขาปิดคุณ มันไม่มีคำตอบอะไรที่มากไปกว่า “การเมืองกลั่นแกล้ง” สิ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือคนรักประชาธิปไตยไม่เคยได้เท่าคนอื่น ก็คือมาตรฐานที่จะปฏิบัติกับเราไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม เราไม่ได้เท่าคนอื่นเลย ส่วนแนวทางในการเรียกร้องต่อไป ไม่หยุดน่ะค่ะ ไม่ว่าคุณจะปิดมากี่ครั้ง ถามว่าการที่โดนปิดชินมั๊ย ชินมาก ไม่ได้รู้สึกตกใจมาก แต่ว่าครั้งนี้เหตุผลที่คุณให้ น้ำหนักมันน้อยเกินไป พวกคุณคิดจะทำเราโดยที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้เลยจริงๆเหรอ ยังไงก็ต้องสู้ต่อ

หญิงมองว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย แม้จะไม่มีพีซทีวี แต่คนที่มีจุดยืนทางประชาธิปไตย เขาก็ต้องมีการเรียกร้องต่อไป เพราะฉะนั้นถามว่าพีซทีวีเป็นหนึ่งกำลังใหญ่เลยมั๊ย ไม่ค่ะ เราเรียกตัวเองว่า เราคือกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนและจะพยายามทำให้ดีที่สุด ตามที่เรามุ่งหวังอยากจะให้เป็น มันอาจจะไม่ได้เกิดในยุคของหญิงเลยก็ได้ มันอาจจะเลยไปกว่านั้น

ถามว่าอยากจะให้เกิดในยุคตัวเองมั๊ยที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน อยากให้เกิดมาก และอะไรที่ทำได้ก็อยากจะช่วยให้ถึงที่สุด คือจะช่วยให้บรรลุให้ได้ มาจนถึงวันนี้ที่เราโดนกระทำมากๆ ความกลัวกลายเป็นแรงผลักให้เรากล้า และมานั่งพิจารณาตัวเองว่า เราเป็นได้แค่ผู้สื่อข่าวหรือผู้ประกาศจริงหรือ ไม่ใช่ค่ะ ถ้ามีอะไรที่นำมาซึ่งประชาธิปไตยที่สามารถให้เราช่วยแล้วไปได้จริงๆ เราสามารถทำได้หมด ทำได้หมดจริงๆ โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ตัวเอง และมีคนถามว่าพีซทีวีปิดแล้ว จะไปทำงานช่องอื่นมั๊ย มันคงไมได้มีความสุขแล้ว มันกลายเป็นอาชีพบวกอุดมการณ์ที่อยู่คู่กัน แล้วถ้าวันนึงที่เราจะทำอะไรที่ในมุมการเลี้ยงดูตัวเอง มันอาจจะได้ แต่จะให้มีความสุขแบบที่อยู่พีซทีวีคงไม่มีอีกแล้ว

ooo

ทีมงานพีซนิวส์แจ้งขอเลื่อนการออกอากาศทางยูทูปเป็นวันที่ 11 พฤษภาคม รับชมได้ทาง http://www.youtube.com/thaipeacetv เช่นเดิม


เทปสุดท้ายก่อนปิดสถานี PEACE TV
https://www.youtube.com/watch?v=Bty0PHj2edQ

เพลง บินต่อไป
https://www.youtube.com/watch?v=PudJQcXsh2g