วันอังคาร, พฤศจิกายน 17, 2558

คิดอีกที (ตามมาตรฐานศาลเกาะสมุย) ก็อาจจะดีเหมือนกันที่ “รัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล” คือให้มันรู้กันไปเลยว่า กรูจะเอาอย่างนี้ ถึงคราวมรึงก็เอาอย่างงั้นบ้างละกัน ฟันต่อฟัน ตาต่อตา




คิดอีกที (ตามมาตรฐานศาลเกาะสมุย) ก็อาจจะดีเหมือนกันที่ “รัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล”

คือให้มันรู้กันไปเลยว่า กรูจะเอาอย่างนี้ ถึงคราวมรึงก็เอาอย่างงั้นบ้างละกัน ฟันต่อฟัน ตาต่อตา

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เขียน message ปลายเปิดถึงประชาชนบนเฟชบุ๊ค ตอบโต้รองนายกฯ ของรัฐบาล คสช.

ซึ่ง “ใช้เวลานานร่วมชั่วโมงที่จะสร้างความชอบธรรม ในการที่รัฐบาลนี้จะใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ตนชำระค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว แทนวิธีการที่กระทรวงการคลังจะฟ้องคดีแพ่งต่อศาล”




นายวิษณุ เครืองาม แถลงแจกแจงความจำเป็นต้องเล่นงานอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงทางกำลังทรัพย์ (ว่าไม่ใช่เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีปัญญาหาเงินวิธีปกติ) หากไม่ทำอย่างนี้อาจโดนคดีเสียเอง

“ว่าเป็นขั้นตอนปกติ หากไม่ดำเนินการรัฐบาลจะเป็นผู้ถูกดำเนินการเอาผิด ทั้งทางอาญาและถูกร้องให้รับผิดชอบทางแพ่งแทน...

ยืนยันว่าการใช้วิธีนี้เอาผิด ครอบคลุมกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 กลุ่ม ตามหนังสือที่ ป.ป.ช.ส่งเรื่องมายังกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง อยู่ในข่ายของการใช้กฎหมาย...

เนื่องจากวิธีออกคำสั่งปกครองใช้มาแล้ว ๒๐ ปี กว่า ๕,๐๐๐ คดี และมีทั้งรัฐเป็นผู้แพ้และชนะ”

“ส่วนปัญหาที่มีการถกเถียงถึงวิธีปฎิบัติ ม.๔ วิธีปฎิบัติราชการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ ที่ระบุว่า พ.ร.บ.นี้ไม่ใช้กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ในงานทางนโยบายโดยตรง...

นั้นเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีการทุจริตและกระทำผิดภายใต้นโยบายรับจำนำข้าว การดำเนินการคดีทางแพ่งและอาญาจึงไม่ใช่การกล่าวหาตัวนโยบาย แต่เป็นการกล่าวหาการปฎิบัติตามนโยบาย ที่มีการกล่างอ้างว่าการทุจริต ผิดขึ้นตอน ไม่มีธรรมาธิบาล ซึ่งเข้าข่ายการใช้กฎหมายฉบับนี้”

(http://www.tnamcot.com/content/332739)

ที่ซึ่งผู้มักใช้หัวมากกว่าหูโดยไม่สลิ่ม เห็นแล้วจะรู้ทันทีว่าการอ้างอิงแบบที่ทั่นรองฯ ชี้ ฝรั่งเขาเรียก ‘the end justify the means’

จึงเป็นเหตุให้ผู้ตกเป็นเหยื่อขอเถียง ด้วยความนอบน้อมและถ่อมตน




“ดิฉันคงไม่อยู่ในฐานะจะเรียกร้องอะไรหลังจากนี้แม้แต่คำว่า ‘ความเป็นธรรม’ เพราะทุกอย่างคงจะดำเนินการไปตามที่รัฐบาลนี้ต้องการ”

แต่กระนั้นเธอจำต้องฝากข้อคิดต่อประชาชน (เพราะปีนี้ ๒๕๕๘ ทั่วโลกเขาคิดตามระบบดิจิทอล ไม่ได้จำกัดกรอบอยู่ในกะโหลกมะพร้าวแห้ง)

ข้อ ๑. “รัฐบาลเลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ตนชำระค่าเสียหายทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น เท่ากับว่ารัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล และยังเลือกใช้มาตรา ๔๔ คุ้มครองรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้พ้นจากการถูกฟ้องร้องใดๆ”

ยังมีอีกหลายข้อ ซึ่งหาอ่านกันได้จากhttp://prachatai.org/journal/2015/11/62478…

แต่ข้อควรใส่ใจตรงนี้อยู่ที่การใช้อำนาจตุลาการแทนศาล

นั่นถ้าเปลี่ยนไปใช้ในการดำเนินคดีนายสุเทพ เทือกสุบรรณและพวก แจกผ้าขนหนูเครื่องหมายพรรคประชาธิปัตย์ในการหาเสียงงานสงกรานต์เกาะสมุยช่วยนายธานี เทือกสุบรรณและคณะ ในการเลือกตั้ง อบจ. เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๑ น่าจะดี

ในเมื่อศาลตัดสินคดีนี้วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสาม โดยอ้างว่า

“ผู้สมัคร อบจ.สุราษฎร์ฯ ไม่ได้อยู่ในงาน จำเลยจึงไม่ได้เกี่ยวข้องที่จะจูงใจให้เลือก และประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วแม้จำเลยไม่ได้ลงพื้นที่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย”

(http://www.prachatai.com/journal/2014/12/57201)

การใช้ตรรกะในการตัดสินคดีว่า ถึงอย่างไรจำเลยก็ได้รับเลือกตั้งอยู่แล้ว การแจกของชำร่วยหาเสียงไม่ได้ช่วยอะไรมากขึ้น จึงยกฟ้องให้เป็นประโยชน์แก่จำเลย

เช่นนี้ชั่วร้ายลำเอียงเสียยิ่งกว่าการอ้างเหตุผลแบบ the end justify the means

หากถ้าประชาชนไทยต้องตกอยู่ภายใต้ขื่อแปของบ้านเมือง ประเภทติดกับระหว่างรัฐบาลทหารกับศาลเล่นพวก ประดุจดังโขดหินกับผาแข็ง (“between a rock and a hard place”) เช่นนั้นละก็

เราจะต้องเลือกระหว่างปีศาจตัวใดตัวหนึ่งที่เหี้ยมเหิมน้อยกว่าอีกตัวละหรือ