วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 13, 2559

หลักการร่าง ‘มีชัย ไม่ปลอก’ ฟันธงไปแล้วอยู่ที่เชิดชูศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นเจ้าเหนือหัว (emperor) รัฐบาลและฝ่ายการเมือง ใครอย่าหือ






อ่า ‘นายใหญ่’ จะตั้งใจคว่ำร่าง รธน. ฉบับ ‘มีชัย ไม่ปลอก’ อย่างที่ไทยรัฐว่าหรือไม่

(http://www.thairath.co.th/content/575217)

ไม่สำคัญเท่าร่างฯ นี้มันฉลององค์เผด็จการ (the emperor’s robe) ชัดๆ

(ไม่เชื่อไปถามนางสดศรี สัตยธรรม อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ดูก็ได้)




วันนี้ (๑๓ ก.พ.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการร่างรัฐธรรมนูญออกมาโต้เรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียว ‘จัดสรรปันส่วนผสม (เสร็จ)’ “ไม่ทำให้ประชาชนเสียสิทธิอย่างแน่นอน”

นายประพันธ์อ้างว่า ถ้าใช้บัตรใบเดียวจะง่ายต่อการบริหารจัดการ แก้ปัญหาความสับสน (จากบัตรสองใบเนี่ยนะ) จนเกิดบัตรเสีย แถมยังประหยัดงบประมาณ




(http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=678342)

แต่เมื่อวานนายกล้าณรงค์ จันทิก รองประธานกรรมาธิการด้านจัดทำร่าง รธน. ของ สนช. ได้ออกมาเสนอไว้ว่าบัตรเลือกตั้งควรมีสองใบ เพราะจะสะท้อนเจตนารมณ์ประชาชนได้จริงกว่า

“การเปลี่ยนรูปแบบไปใช้บัตรเลือกตั้งแบบใบเดียว อาจทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งการใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ทำให้การทุ่มซื้อเสียงของพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้น”

(http://www.matichon.co.th/news/35098)

นายกล้าณรงค์ไม่ได้แค่พูดเรื่องบัตรสองใบเท่านั้น ทั่นอดีต ปปช. เสนอแนะอีกแยะเยอะ ทั้งหมด ๕ ข้อ และซิยย่อยออกไปอีก ๑๓ รวมความว่าอะไรๆ ที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้ สนช. รายนี้เก็บเอามาเสนอใหม่ให้แผกไป





แต่ว่าอย่าได้หวังนะว่ากล้าณรงค์จะแก้ตามเนื้อนาที่คนเขาวิจารณ์กัน กลัวจะถูกหาว่าเอาอย่างเขามั้ง เป็น สนช. ‘ปาก’ กระบอกปืนทั้งที

(ที่ นศ.เชียงใหม่เขียนป้ายล้อการเมืองว่า ‘ปลาย’ กระบอกปืนน่ะถูกต้องแล้ว ในความหมายว่าปืนจ่อ ถ้าใช้คำ ‘ปาก’ ย่อมหมายถึงปากพ่นอย่าง สนช.)

อย่างเรื่อง สว. เลือกกันเองในสาขาอาชีพ ที่วิจารณ์กันว่าไม่มีทางได้คุณภาพในทางประชาธิปไตย แทนตัวสิทธิเสียงประชาชนแท้จริง นายกล้าณรงค์ก็เอาใหม่ ขอให้ลากตั้งทั้งพวง “สรรหาทั้งหมด ๒๐๐ คน”

นอกนั้นเป็นเรื่องทางเทคนิค เช่น เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมาตรา ๗ ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ควรอยู่ที่เดิม ไม่ใช่ไปซุกอยู่ในมาตรา ๒๐๗

กับประเด็นมาตรา ๖๘ การร้องเรียตรวจสอบนให้รัฐบาลโดยประชาชนที่เคยมีปัญหาตีความแล้ว ร่างฯ มีชัยจัดให้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ นายกล้าณรงค์เสนอให้กลับไปอย่างเดิม คือยื่นได้ทั้งสองทาง ผ่านอัยการสูงสุดและตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญ

ทว่าทีเด็ดของ สนช. อยู่ที่เสนอให้มีกลไก ‘วิเศษ’ แก้ปัญหาวิกฤตของประเทศเวลาเกิดอาการจุกตัน

“ให้เป็นอำนาจของประธานศาลรัฐธรรมนูญในการเรียกประชุมร่วมกันของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และบุคคลอื่นใดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

โดยให้ที่ประชุมดังกล่าวมีอำนาจในการบริหารจัดการสถานการณ์เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว”

ที่ประชุม สนช. “มีมติเอกฉันท์เห็นชอบ ๑๖๐ เสียง งดออกเสียง ๒ เสียง ให้ส่งรายงานฉบับนี้ไปให้ กรธ. ประกอบการพิจารณา”

(http://www.matichon.co.th/news/35098)

เรี่ยมแร้ไหมล่ะ สนช. สลับถ้อยคำนิดหน่อยให้เห็นว่าแก้ไขแล้วเก็บไปใช้ได้ ไอ้ที่ คสช.พยายามแกะกล่อง รธน. นี่น่ะ ‘กล่องดวงใจ’ คือศาล รธน. กับองค์กรอิสระนั่นเอง

ถึงแม้ว่าจะมีการยกระดับ ‘อัพเกรด’ พวกศาล รธน. ปปช. กตต. ดังที่ Atukkit Sawangsuk mentioned ไว้ว่า “จะสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

“เช่นตุลาการถ้ามาจากศาลต้องเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาเกิน ๓ ปี มาจากมหาลัยต้องเป็นศาสตราจารย์ ๕ ปี อธิบดีเกิน ๕ ปี กกต.ปปช.ต้องเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลอุทธรณ์ ๕ ปี...

ในหมวด ๑๑-๑๒ นี้ยังมีข้อดี (แค่) ๒ ข้อคือ ห้ามองค์กรอิสระเวียนเทียน เป็นผู้ตรวจ เป็น คตง. กกต. ปปช.แล้วมาเป็นศาล รธน.ไม่ได้ ไปสมัครองค์กรอื่นก็ไม่ได้

ห้ามมีอาชีพองค์กรอิสระ (จริงๆ คือสมบัติผลัดกันชม) อีกข้อคือเขียนให้ชัดว่าประธานศาล รธน.ลาออกแล้วต้องพ้นจากตุลาการด้วย (กรณีชัช ชลวร ที่เคยถกกัน) ไม่ใช่เอาเก้าอี้ประธานมาสลับกันเป็น”

ตกลงหลักการ ‘มีชัย ไม่ปลอก’ ฟันธงไปแล้วอยู่ที่เชิดชูศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นเจ้าเหนือหัวรัฐบาลและฝ่ายการเมือง ใครอย่าหือ

สนช. มาตัดม่าน ฟันต่อ เพิ่มตะหาน (ที่เที่ยวบอกกับทูตทหารนานาชาติว่ารักษาสิทธิมนุษยชนแน่นหนาเสียจริง) เข้าไปให้เป็นลายลักษณ์อักษรเสียเลย