วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 28, 2568

ไวรัลจุกอก พวกครูๆ หัวใจสลาย ตำรวจสุรินทร์จับตัวเด็กชายเชื้อชาติเขมร วัย ๑๓ ปีเรียนดีเกรด ๔ รวด เตรียมส่งไปกัมพูชาข้อหา ‘ต่างด้าว’

พวกครูๆ น่ะหัวใจสลาย แต่คนไทยที่ได้รับทราบข่าวนี้ คงมีสะใจกันอยู่บ้างละ ในสภาวะที่ทั้งประเทศถูกปลุกปั่นให้เกลียดชังเชื้อชาติ เขมร แบบ กัน จอมพลังที่จะเอารถดูดส้วม ๑๓ คันไปฉีดใส่ข้ามเขตแดนละสิ

ได้แต่หวังว่ากระทรวงพัฒนาสังคมจะขยับทำอะไรได้บ้าง ดังที่ Jessada Denduangboripant เสนอแนะ เพื่อไม่ให้เด็กนักเรียนชายอายุ ๑๓ ปี ซึ่งมารดาเป็นชาวเขมร แต่บิดาบุญธรรมนัยว่าเป็นคนไทย ถูกตำรวจจับตัวไปฐานเป็นคนต่างด้าว

ต้นเรื่องเริ่มจากครูคนหนึ่งในอำเภอบัวเชด จ.สุรินทร์ โพสต์ข้อความที่หลายคนอ่านแล้วจุกอก ว่า “เมื่อเช้า...มีรถตำรวจมารับตัวนักเรียนผมไป...ถูกแจ้งความในข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

เด็กคนนี้ผู้เป็นมารดานำเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาเติบโตและร่ำเรียน พูดภาษาไทย ใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนคนไทย...ภาษากัมพูชาก็อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้...เป็นเด็กดี เรียนดีถามว่าดีแค่ไหน

ก็จบประถมศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย ๔.๐๐ ครับ เป็นคนมีความสามารถทางด้านดนตรี กีฬา รวมถึงวิชาการ” Sopon Jongboriboon เขียนเล่าว่าตำรวจให้เด็กชายคนนี้เปลี่ยนจากชุดลูกเสือไปเป็นเสื้อผ้าปกติ แล้วจะนำตัวไปคุมขังที่ด่านกาบเชิง

รอส่งตัวไปด่านสระแก้วเพื่อส่งต่อไปที่จังหวัดกำปงจาม ทั้งที่เขาไม่มีครอบครัวใดๆ และตัวเองก็ไม่เคยอยู่ที่นั่นมาเลยตลอดชีวิต ครูบอกว่าไม่โทษตำรวจเพราะทำตามหน้าที่ มิฉะนั้นจะมีความผิดตามมาตรา ๑๕๗ แต่ประเด็นอยู่ที่พอมีคนแจ้งความ ก็เลยไปเสาะหา

ทางผู้กำกับโรงพักบัวเชด “เลยส่งสายตรวจได้ลงพื้นที่ไป ตรวจสอบพบว่า หญิงกัมพูชารายนี้อยู่ไทยมานาน ๑๐ กว่าปี มีลูกติดกับสามีชาวกัมพูชา (นักเรียนคนดังกล่าว) ๑ คน” นี่เป็นลักษณะการเสาะหาเพื่อผลักไส เช่นเดียวกับที่รัฐบาลทรั้มพ์ทำ

อย่างไรก็ดี ดังที่ อจ.เจษฏาชี้ว่ากระทรวง พม.เพิ่ง “ถอนข้อสงวนที่ ๒๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก” ไปเมื่อ ๓๐ สิงหาคมปีก่อน เพื่อ “ยกระดับการคุ้มครองเด็ก” แสดงความมุ่งมั่น ปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็ก ทุกคน อย่างเท่าเทียม และไม่เลือกปฏิบัติ”

ข้อสำคัญประการหนึ่ง ที่ อจ.เจษฎาเน้นย้ำ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อที่ ๒๒ นี้ ไม่ได้ เป็นการ ให้สัญชาติไทยกับเด็กเหล่านั้น นะครับ อย่าเข้าใจผิดกัน” ผู้ที่ชังกัมพูชา น่าจะเพลาๆ มือกันบ้าง

(https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant/posts/24DiQU7Br6, https://www.matichon.co.th/local/news_5342725 และ https://www.facebook.com/athapol/posts/321cLy9z3go6) 

ครอบครัวตัวประกันชาวอิสราเอล ปิดถนนและเผายางรถยนต์ประท้วงให้ยุติสงคราม

Israeli hostage families and demonstrators hold day of protests | BBC News

Aug 26, 2025 

Families of hostages held by Hamas have been protesting across Israel, a day after double Israeli strikes hit a hospital in Gaza. 

The marches, rallies and demonstrations are aimed to pressure the government into securing a deal with Hamas to release all of the hostages. 

The protests come amid international condemnation of the Israeli attack on Nasser Hospital in southern Gaza which killed at least 20 people. 

About 1,200 people were killed and 251 others taken to Gaza as hostages in Hamas's 7 October 2023 attack - there are 50 hostages remaining inside Gaza, of whom 20 are believed to be alive.

Israel responded with a massive military offensive, which has since killed 62,819 Palestinians, according to the Hamas-run health ministry.

https://www.youtube.com/watch?v=e1_CQlHuGjk
.....

https://www.facebook.com/watch/?v=1818592605536625



กมธ.ทหาร เรียกสอบ น้ำมันกองทัพหาย 2 แสนลิตร งงซื้อมาคืนไม่ทุจริต? ฮึ่มไม่มาจ่อใช้กม.บังคับ


กมธ.ทหารแถลง "ทหารทำน้ำมันหาย 2แสนลิตร" 27ส.ค.68

Friends Talk

Streamed live 16 hours ago

https://www.youtube.com/watch?v=QsyPqviE1vE





 

“พิพัฒน์” พ่อค้าจากบุรีรั มย์ ถูกสั่งฟ้องคดี ม.112 ที่พัทลุง เหตุโพสต์ตั้งคำถามถึงกรณีประหารชีวิต “ชิต บุศย์ เฉลียว” - เคสนี้ มันไม่ใช่แค่พยานมีอคติ ต้องถามว่าอัยการมีอคติด้วยหรือเปล่า


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
11 hours ago
·
“พิพัฒน์” พ่อค้าจากบุรีรัมย์ ถูกสั่งฟ้องคดี ม.112 ที่พัทลุง เหตุโพสต์ตั้งคำถามถึงกรณีประหารชีวิต “ชิต บุศย์ เฉลียว”
.
.
27 ส.ค. 2568 ที่ศาลจังหวัดพัทลุง พิพัฒน์ วิเศษชุมพล พ่อค้าผลผลิตทางการเกษตรจากบุรีรัมย์ วัย 33 ปี เดินทางไปฟังคำสั่งฟ้องคดีที่เขาถูกกลุ่มแกนนำกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบันกล่าวหา ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เหตุจากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณีการประหารชีวิต “ชิต บุศย์ เฉลียว” จากเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8
.
คดีนี้ พิพัฒน์เดินทางจากบุรีรัมย์ไปรับทราบข้อกล่าวหา ที่ สภ.ควนขนุน จ.พัทลุง พร้อมกับทนายความ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2567 หลังได้รับหมายเรียกที่ระบุว่ามี ทรงชัย เนียมหอม แกนนำกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน เป็นผู้กล่าวหา
.
ข้อกล่าวหารระบุเป็นเหตุจากข้อความบนเฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าตรวจพบ เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2566 โดยข้อความดังกล่าวเป็นภาพถ่ายจากกรณี “บังเอิญ” ศิลปินที่พ่นสีสเปรย์ข้อความที่กำแพงวัดพระแก้วเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566 แต่ภาพดังกล่าวมีการตัดต่อข้อความที่พ่นบนกำแพงให้ต่างไปจากเดิม และผู้โพสต์ข้อความได้เขียนข้อความประกอบ โดยตั้งคำถามเรื่องการฆ่าตัวตายและอุบัติเหตุ พร้อมถามว่า “แล้วประหาร ชิต บุศย์ เฉลียว ทำไมครับ” และกล่าวถึงว่าผู้กระทำดังกล่าวไม่ใช่คนดี
.
พิพัฒน์ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ก่อนพนักงานสอบสวนให้ปล่อยตัวไป จากนั้นมีการส่งสำนวนคดีให้การพนักงานอัยการภาค 9 ไปเมื่อเดือนตุลาคม 2567 และอัยการมีการนัดฟังคำสั่งเรื่อยมา เดือนละ 1 ครั้ง จนกระทั่งอัยการมีคำสั่งฟ้องคดี และพิพัฒน์ต้องเดินทางจากบุรีรัมย์มาฟังคำสั่งฟ้อง
.
นนทวัฒน์ เกลี้ยงเกลา พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 ภาค 9 ได้เป็นผู้เรียงฟ้องคดีนี้ โดยสรุปกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2566 ถึงวันที่ 14 เม.ย. 2566 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ โดยได้โพสต์ภาพและข้อความลงในเฟซบุ๊กของจำเลย ที่เปิดบัญชีเป็นสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้
.
อัยการบรรยายว่าภาพและข้อความดังกล่าว มีความมุ่งหมายให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งสมัยในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่ถูกคนร้ายลอบปลงพระชนม์ และต่อมาได้มีการดำเนินคดีต่อนายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษบุคคลทั้งสามดังกล่าว เป็นการบิดเบือนใส่ร้ายจากบุคคลในสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการกล่าวร้ายป้ายสีใส่ความสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 9 ผู้เป็นพระราชบิดาซึ่งได้สวรรคตไปแล้ว และรัชกาลที่ 10 พระมหากษัตริย์ผู้เป็นพระราชโอรส อันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา
.
อัยการระบุว่าหากจำเลยขอปล่อยตัวชั่วคราวขอให้อยู่ในดุลยพินิจศาล
.
ต่อมาหลังศาลรับฟ้องไว้ ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลย โดยให้วางหลักทรัพย์จำนวน 100,000 บาท แต่หากผิดสัญญาประกันให้ปรับเป็นเงิน 200,000 บาท หลักทรัพย์ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ พร้อมกำหนดวันนัดคุ้มครองสิทธิ ในวันที่ 17 ก.ย. 2568 และนัดพร้อมวันที่ 29 ก.ย. 2568
.
สำหรับพิพัฒน์จบการศึกษาด้านวิศวกรรม แต่กลับไปประกอบอาชีพค้าขายผลผลิตทางการเกษตรในจังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนหน้านี้เคยไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองในวันสำคัญอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นแกนนำใด ๆ
.
.
จากการติดตามของศูนย์ทนายฯ พบว่า ทรงชัย เนียมหอม ผู้กล่าวหาในคดีนี้ เป็นผู้แจ้งความคดีมาตรา 112 และ 116 กระจายไปในหลายสถานีตำรวจในหลายจังหวัดทางภาคใต้ อาทิ ในจังหวัดพัทลุง, สงขลา, ตรัง, กระบี่, สุราษฎร์ธานี รวมทั้งในกรุงเทพฯ โดยทราบว่ามีผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 19 คดีแล้ว (แยกเป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 17 คดี และคดีมาตรา 116 จำนวน 2 คดี)
.
ส่วนใหญ่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นประชาชนทั่วไป ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกแจ้งความ ทำให้แต่ละคนมีภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่อสู้คดี
.
.
อ่านบนเว็บไซต์จากลิงก์https://tlhr2014.com/archives/77817
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1178876287416173&set=a.656922399611567

Atukkit Sawangsuk 7 hours ago
มันไม่ใช่แค่พยานมีอคติ
ต้องถามว่าอัยการมีอคติด้วยหรือเปล่า


อีกหนึ่งโพสต์ถึง “นรินทร์กลึง” นักสู้ผู้ไม่กลัวคุก! ยอมสละตำแหน่งเจ้าเมืองและพระยา ไม่ยอมก้มหัวให้ความอยุติธรรม!!


นรินทร์กลึง

“นรินทร์กลึง” นักสู้ผู้ไม่กลัวคุก! ยอมสละตำแหน่งเจ้าเมืองและพระยา ไม่ยอมก้มหัวให้ความอยุติธรรม!!

15 ก.ย. 2560
โดย: โรม บุนนาค
ผู้จัดการออนไลน์

นายนรินทร์กลึง หรือ นรินทร์ ภาษิต เป็นนักสู้ที่ทรหดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาจนถึงระบอบเผด็จการประชาธิปไตย แม้จะติดคุกครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรม ยอมสละแม้แต่ตำแหน่งเจ้าเมืองและบรรดาศักดิ์พระยาที่อยู่แค่เอื้อม มีความคิดล้ำยุคจนถูกหาว่าขวางโลก

นายนรินทร์ ภาษิต มีชื่อเดิมว่า กลึง เป็นลูกชาวสวนนนทบุรี เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้รับการศึกษาที่วัดพิชัยญาติ จนอายุ ๑๕ จึงบวชเป็นสามเณร แต่ไม่ทันถึงปีก็สึกออกมารับราชการในตำแหน่งเสมียน ด้วยการชักชวนของกรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ เทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรี และด้วยความที่เป็นคนมุ่งมั่นในการทำงาน ซื่อตรงสุจริต จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงศุภมาตรา ตำแหน่งนายอำเภอชลบุรี มีผลงานปราบปรามโจรผู้ร้ายจนราบคาบ จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองนครนายก มีบรรดาศักดิ์เป็น พระพนมสารนรินทร์

ในตำแหน่งเจ้าเมืองนี้ พระพนมสารนรินทร์ได้สร้างชื่อเสียงในการปราบปรามโจรก๊กใหญ่ที่มีชื่อว่า “โจรก๊กแขกสมันคลอง ๑๖” ที่ไม่มีใครปราบได้ แต่พระพนมฯกวาดล้างราบทั้งก๊ก จนรัชกาลที่ ๕ รับสั่งให้กรมขุนมรุพงษ์ฯพามาเข้าเฝ้าขอดูตัว

ด้วยความดีความชอบในเรื่องนี้ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจึงเสนอให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระพนมสารนรินทร์ขึ้นเป็น “พระยา” แต่กรมขุนมรุพงษ์ฯยับยั้งไว้ ให้รออีกระยะหนึ่งเพราะเพิ่งเลื่อนเป็นพระเพียง ๒ ปี ทำให้พระพนมฯน้อยใจ ขอลาพักราชการ แล้วไปช่วยพรรคพวกทำธุรกิจเรือเมล์แข่งกับบริษัทฝรั่งที่ทำเรือเมล์ในแม่น้ำพนม จังหวัดปราจีนบุรีแบบขูดรีดผู้โดยสาร กรมขุนมรุพงษ์ฯขอให้กลับมารับราชการตามเดิม โดยจะให้เป็นปลัดมณฑลอุดร และว่าไม่มีทางเอาชนะบริษัทฝรั่งได้ แต่พระพนมฯเชื่อมั่นว่าต้องชนะได้ จึงลาออกจากราชการเสียเลยในปี ๒๔๕๒ ในขณะที่อายุเพียง ๓๕ กรมขุนมรุพงษ์ฯทรงกริ้ว จะเอาชนะพระพนมฯให้ได้ จึงสั่งห้ามเรือเมล์ไทยจอดท่าหลวงทุกท่า ทำให้เรือเมล์ของกลุ่มพระพนมฯหมดท่า ต้องเลิกกิจการ พระพนมฯจึงพ่ายแพ้ต่ออำนาจ ทั้งอนาคตทางราชการที่ตำแหน่งพระยาอยู่แค่เอื้อมก็หมดทางไปด้วย

พระพนมสารนรินทร์หันเข้าศึกษาคติธรรมทางพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และเห็นว่าถ้าขจัดสิ่งไร้เหตุผลที่ปะปนอยู่ในความเชื่อของชาวพุทธ สู่แก่นธรรมคำสอนที่แท้จริงแล้ว จะนำสังคมและมวลมนุษยชาติไปสู่ความดีงามได้ จึงชักชวนพรรคพวกตั้ง “พุทธบริษัทสมาคม” เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่พุทธศาสนาที่ไม่งมงาย พร้อมทั้งออกหนังสือ “สารธรรม” และ “โลกธรรม” เผยแพร่งานของพุทธบริษัทสมาคมด้วย ทั้งยังเตรียมการออกหนังสือ “ช่วยบำรุงชาติ” อีกฉบับหนึ่ง แต่เมื่อผู้ร่วมงานทราบว่ารัฐบาลไม่พอใจการดำเนินงานของพุทธบริษัทสมาคม จึงไม่ยอมให้ออกหนังสือเล่มใหม่นี้ ทำให้พระพนมฯลาออกจากพุทธบริษัทสมาคม ไปตั้ง “วัตร์สังฆสมาคม” ดำเนินงานตามอุดมคติเดิม ซึ่งก่อให้เกิดความไม่พอใจทั้งรัฐบาลและฝ่ายสงฆ์ ทำให้พระพนมสารนรินทร์ถูกถอดบรรดาศักดิ์ งดบำนาญ กลายเป็นนายนรินทร์ ภาษิตที่ไม่มีรายได้ จนต้องอาศัยข้าววัดเป็นที่พึ่งในบางมื้อ

หลังจากลำบากแสนสาหัสไปพักหนึ่ง นายนรินทร์ก็รวบรวมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ได้อีก จัดตั้งขบวนการในชื่อ “คณะยินดีคัดค้าน” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความอยุติธรรมต่างๆ พร้อมออกหนังสือพิมพ์ชื่อ “เหมาะสมัย” เป็นปากเสียงของขบวนการ แต่ออกได้ไม่กี่ฉบับก็ถูกปิด นายนรินทร์ก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อออกหนังสือพิมพ์ไม่ได้ก็ออกใบปลิว และใบปลิวฉบับหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “สงบอยู่ไม่ได้แล้ว” ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนในวงราชการมาก ทำให้รัฐบาลจ้องจะหาทางดำเนินคดีกับนายนรินทร์ และหนักขึ้นไปอีกในใบปลิว “คัดค้านสงคราม” สวนกระแสกับที่ ร.๖ ทรงเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน

ในที่สุดรัฐบาลก็นำอาใบปลิว “สงบอยู่ไม่ได้แล้ว” มาเป็นข้ออ้างในการจับนายนรินทร์เข้าคุก และส่งฟ้องศาลในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ประชาชนเกลียดชังข้าราชการ อาจทำให้ปั่นป่วนในบ้านเมืองได้ คดีนี้สู้กันถึงศาลฎีกา ซึ่งพิพากษาจำคุกนายนรินทร์ ๒ ปี ในขณะที่นายนรินทร์ติดมา ๒ ปี ๓๐ วันแล้ว ที่เกินไปไม่รู้จะไปเอาคืนกับใคร

ออกจากคุกมานายนรินทร์เหลือแต่ตัว เสื้อผ้ายังต้องยืมเขาใส่ บางครั้งก็เอาถุงแป้งมาย้อมกับลูกพลับเป็นสีน้ำตาลตัดเป็นกางเกงใส่ เอาหนังสือเก่าออกเดินเร่ขาย พอมีทุนหน่อยก็ออกหนังสือ “ชวนฉลาด” แต่ออกอยู่ได้ไม่กี่เล่มก็เกิดป่วย จนต้องหยุดออกไปรักษาตัว พอหายก็ไปบวชเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง แต่กลับไปพบเรื่องเลอะทอะในวงการสงฆ์ จึงสึกออกมาหวังจะต่อสู้ชำระสะสางวงการนี้ให้สะอาด แต่โชคชะตากลับพลิกผันเกิดรวยอย่างกะทันหัน

ทั้งนี้นายนรินทร์ได้ผลิตยาดองออกจำหน่ายในชื่อ “นกเขาคู่” ประกาศสรรพคุณว่าแก้สารพัดโรค เกิดมีคนติดกันงอมแงม จนต้องตั้งโรงงานผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีรายได้ถึงเดือนละ ๓ หมื่นบาท นายนรินทร์สร้างความฮือฮาขึ้นไปอีก โดยสร้าง “วัตร์นรีวงศ์” เป็นตึกสูงถึง ๗ ชั้นที่บ้านเมืองนนทบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วบวชลูกสาว ๒ คนเป็นสามเณรีขึ้นเป็นครั้งแรก เลยถูกหาว่าเป็นกบฏต่อพุทธศาสนา คณะสงฆ์แอนตี้สั่งทุกวัดไม่ให้ที่พักพิง แต่ก็ยังค้นหากฎหมายมาเล่นงานไม่ได้

ต่อมาในที่ ๑ กันยายน ๒๔๖๗ ชีวิตของนรินทร์กลึงก็พลิกผันอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลออกประกาศห้ามผสมแอลกอฮอล์ลงในยารักษาโรค ทำให้ยานกเขาคู่ของนายนรินทร์ที่คนกำลังติดกันทั่วเมือง รวมทั้งในโกดังที่เตรียมขยายไปตลาดโลก กลายเป็นของผิดกฎหมายไปทันที ทำให้นายนรินทร์หมดเนื้อหมดตัว ความเป็นเศรษฐีสิ้นสุดในเวลาอันสั้น

หลังจากบวชสามเณรีมาได้ ๖ ปี ล่วงเข้าสมัยรัชกาลที่ ๗ คณะอภิรัฐมนตรีก็มีมติให้จับกุมสามเณรี ถ้าขัดขืนก็ให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเปลื้องจีวรออก นายนรินทร์เห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ จึงได้ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มีรับสั่งให้นายนรินทร์เลิกความคิดสามเณรีเสีย ซึ่งนายนรินทร์ก็ยอม แต่ได้บวชตัวเองโดยไม่มีอุปัชฌาย์ และตั้งฉายาให้ตัวเองว่า “ฐิตธฺมโมภิกขุ” สร้างความเกรียวกราวเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก

ฐิตธฺมโมภิกขุ เห็นว่าบรรดาสงฆ์เทศนาสั่งสอนสวนทางกับการกระทำของตัวเอง ให้คนสละทรัพย์เพื่อเป็นทาน แต่ตัวองกลับสะสมความมั่งคั่ง จึงทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชให้สละทรัพย์เพื่อเป็นแบบอย่าง เลยถูกจับในข้อหาหมิ่นพระสังฆราช ถูกศาลสั่งจำคุก ๖ เดือน

นายนรินทร์พ้นโทษเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว และด้วยความกระหายในประชาธิปไตย จึงได้ก่อตั้ง “สมาคมช่วยชาติศาสนาพระมหากษัตริย์” เป็นปากเสียงให้ประชาชนที่ได้รับความอยุติธรรม งานชิ้นแรกก็ได้เรื่อง

นายนรินทร์ได้ออกใบปลิว “ไทยไม่ใช่ทาส” เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกเก็บเงินรัชชูประการ และเลิกการใช้งานโยธาคนที่ไม่มีเงินเสีย ถ้าไม่เลิกเก็บ ก็เท่ากับรัฐบาลเป็นโจรปล้นประชาชน เลยโดนจับในข้อหายุยงให้ราษฎรกระด้างกระเดื่องต่อรัฐ ถูกศาลสั่งจำคุก ๒ ปี ๘ เดือน ได้ลิ้มรสคุกยุคประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก

แม้จะต้องเข้าคุก นรินทร์กลึงก็ยืนหยัดที่จะให้รัฐบาลเลิกการเก็บเงินรัชชูประการให้ได้ จึงอดข้าวประท้วง แต่อดได้ ๒๑ วันก็ถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลวชิระช่วยชีวิตไว้ และถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ โดยรัฐบาลยอมที่จะเลิกเก็บเงินรัชชูประการ สร้างความดีใจให้คนยากจนกันทั่วหน้า นับเป็นชัยชนะครั้งแรกในชีวิตของนรินทร์กลึง

ออกจากคุกครั้งที่ ๓ มาได้ นายนรินทร์ก็ออกหนังพิมพ์ “แนวหน้า” โจมตีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่นรินทร์กลึงกลับด่าอย่างรุนแรง ผลก็คือ “แนวหน้า” ถูกปิด นรินทร์กลึงถูกจับข้อหากบฏ ศาลตัดสินจำคุก ๒ ปี

พ้นโทษออกมาในปี ๒๔๘๓ ยังไม่ทันพ้นปี นรินทร์กลึงก็ออกใบปลิวคัดต้านที่จอมพล ป.จะยืดบทเพาะกาลในรัฐธรรมนูญออกไป และใช้ถ้อยคำรุนแรง เลยโดนข้อหาเดิมอีกครั้ง คือกบฏ ต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีก ๒ ปี

พ้นโทษออกมาในเดือนกรกฎาคม ๒๔๘๕ นรินทร์กลึงกลับเครื่องร้อน ส่งจดหมายถึงจอมพล ป.พิบูลสงครามโดยตรง ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย และเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่าเขาเป็นได้ดีกว่าจะเป็นเอง และถ้อยคำที่นรินทร์กลึงเขียนถึงจอมเผด็จการที่กำลังรุ่งเรืองอยู่ในอำนาจนั้น ใครได้อ่านก็ต้องขนหัวลุกกัน บรรทัดหนึ่งมีข้อความว่า

“มึงมันจองหองพองขน ประดุจอ้ายพวกกิ้งก่าได้ทองโดยแท้”
จอมพล ป.นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีมารยาทงาม อัธยาศัยดี จึงเพียงแต่ส่งจดหมายฉบับนี้คืนให้แก่ผู้เขียนเท่านั้น แต่นรินทร์กลึงก็ยังไม่ยอมลดละ ส่งไปอีกที พร้อมขออนุญาตนำจดหมายฉบับนี้พิมพ์เผยแพร่ จอมพล ป.คนมารยาทงามก็ส่งจดหมายคืนอีก พร้อมบันทึกต่อท้ายในจดหมายมาด้วยว่า

“...การขออนุญาตพิมพ์จดหมายนั้น ว่าตามหลักประชาธิปไตย ท่านทำได้ ผมก็อนุญาตให้ท่านทำ แต่จะผิด ก.ม.อย่างไรไม่ทราบ สุดแต่ทางเจ้าหน้าที่ปกครองจะวินิจฉัย

สิทธิเสรีภาพของมนุษย์นั้น ผมได้นับถือมานานแล้ว และอยากจะเริ่มส่งเสริมให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น ฉะนั้นด้วยหลักการนี้ ผมจึงไม่ขัดข้อง หวังว่าคงจะสบาย หมั่นทำบุญตักบาตร ท่านจะสุขยิ่งขึ้น

เคารพรัก
ป.พิบูลสงคราม

นรินทร์กลึงคงจะนึกว่าเป็นชัยชนะอีกครั้ง นำจดหมายพร้อมบันทึกอนุญาตของจอมพล ป.พิมพ์เป็นใบปลิวแจกจ่ายไปทั่วประเทศ ทำให้เขาโด่งดังเป็นที่โจษขานกันทั้งเมือง แต่ตำรวจไม่ยอมให้นรินทร์กลึงใช้เสรีภาพเกินขอบเขต เขาจึงสิ้นอิสรภาพอีกครั้ง ถูกจำคุกเป็นครั้งที่ ๖ และทำท่าว่าจะเป็นการขังลืม แต่โชคดีที่เปลี่ยนรัฐบาล เมื่อปรีดี พนมยงค์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นรินทร์กลึงจึงถูกปล่อยออกมาในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๙

แม้จะเข้าวัยชราแล้ว แต่นรินทร์กลึงก็ยึดมั่นอุดมการณ์อย่างไม่ท้อถอย ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดพระนคร ในปี ๒๔๙๒ เมื่อสอบตกก็ตั้งสำนักงานในชื่อ “สำนักงานปฤกษาภารราษฎร์” พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ “เสียงนรินทร์” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม และทุ่มเทกำลังใจกำลังกายโดยไม่ยอมสยบให้แก่อำนาจใดๆ ต่อสู้อย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๙ จนสิ้นลมด้วยหัวใจวายเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๙๓ ขณะมีอายุได้ ๗๗ ปี


https://mgronline.com/onlinesection/detail/9600000094382


นรินทร์ กลึง ผู้มีความคิดล้ำยุค ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า พระสงฆ์ดีแต่เทศน์ให้คนสละทรัพย์ แต่ตัวเองกลับสะสมทรัพย์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหนังสือ กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ขอให้พระองค์สละทรัพย์เป็นแบบอย่าง ผลคือ...คุก 6 เดือน ฐานหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช


Somrit Luechai
10 hours ago
·
บุคคลที่เกิดก่อนยุคสมัย
คนหนึ่งคือ
นายนรินทร์ กลึงหรือนรินทร์ ภาษิต
ครั้งหนึ่งเขากล่าวว่า
พระสงฆ์ดีแต่เทศน์ให้คนสละทรัพย์
แต่ตัวเองกลับสะสมทรัพย์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหนังสือ
กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อขอให้พระองค์สละทรัพย์เป็นแบบอย่าง
ผลคือนายนรินทร์ กลึง
ถูกจำคุก 6 เดือน
ฐานหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช
พอดีช่วงนี้มีข่าวเรื่องพระกับเงินๆทองๆ
เลยคิดถึงนายนรินทร์ กลึง
ครับ

https://www.facebook.com/photo?fbid=10235062633165816&set=a.10204374337137595



“พุทธเถรวาท จะอยู่ในโลกสมัยใหม่นี้อย่างไร พระที่เรารู้สึกว่าเป็นพระที่กราบไหว้ได้ เขาควรจะมีธรรมวินัยอย่างไร เราคิดว่านี่เป็นโจทย์ใหญ่” - #Decode คุยกับ วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านปรัชญาศาสนา ชวนย้อนดูบทเรียนจากนาลันทาที่ล่มสลาย


Decode.plus
9 hours ago
·
“พระที่เรารู้สึกว่าเป็นพระที่กราบไหว้ได้ เขาควรจะมีธรรมวินัยอย่างไร เราคิดว่านี่เป็นโจทย์ใหญ่”

#Decode คุยกับ วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านปรัชญาศาสนา เพื่อชวนหาทางออกว่า ทำอย่างไรพุทธศาสนาในประเทศไทยจึงจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้กับชาวพุทธได้อย่างยั่งยืน
.
ยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้มีหลายปรากฏการณ์ที่ทำให้สังคมไทยตั้งคำถามกับพฤติกรรมของพระสงฆ์และความโปร่งใสในการบริหารจัดการของวัดหลายแห่ง จะว่าเกิดขึ้นครั้งแรกก็ไม่ใช่ แต่เกิดขึ้นทีไร ชาวพุทธหลายคนก็กังวลว่า ‘พระศาสนาจะเสื่อม’

เพราะในความศรัทธาของฆราวาสจำนวนไม่น้อย พระสงฆ์เปรียบเสมือนตัวแทนทางศีลธรรมผู้เลือกเดินทางธรรมเพื่อฝึกตน แสวงหาการหลุดพ้นจากอัตตา ไม่ใช่มาห่มผ้าเหลืองเพื่อยึดติดกับสีกา เงินทอง หรือยศถาบรรดาศักดิ์

ชวนย้อนดูบทเรียนจากนาลันทาที่ล่มสลาย เพื่อทำความเข้าใจข้อเสนอเรื่องการแยกศาสนาออกจากรัฐ คืนความเป็นมนุษย์สู่สมณเพศในแบบที่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของการตื่นรู้ที่แท้จริง

อ่านบทความเต็ม 



พบกับ ‘พี่เกล้า’ หรือ คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายของน้องๆ เยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563-2565 มาเล่าให้ฟังถึงปัญหาที่เยาวชนเหล่านี้ต้องเผชิญในกระบวนการยุติธรรม จนมาถึงขั้นตอนดำเนินคดีในศาลและผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา


เด็กเอ๋ย เด็กดี มีคดีเป็นร้อย | คนนอกคอก EP.1

Prachatai

Premiered Aug 21, 2025

ประชาไท X ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนฟังรายการ “คนนอกคอก : คนมีคดีมีเรื่องมาเล่า” ep 1 ตอน “เด็กเอ๋ย เด็กดี มีคดีเป็นร้อย” รอบเดือนสิงหาคม ที่เราจะมาพบกันทุกพฤหัสฯ ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน 
เราชวน ‘พี่เกล้า’ หรือ คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายของน้องๆ เยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563-2565 มาเล่าให้ฟังปัญหาที่เยาวชนเหล่านี้ต้องเผชิญในกระบวนการยุติธรรมของเยาวชน ที่มีเยาวชนเกือบ 300 คนถูกดำเนินคดีถึง 220 คดีจากการออกใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของพวกเขา 
สิ่งที่เยาวชนเหล่านี้เผชิญมีตั้งแต่ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าสลายการชุมนุมจับกุมควบคุมตัว จนมาถึงขั้นตอนดำเนินคดีในศาลและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไม่ได้มีแค่ความบาดเจ็บทางกาย แต่ยังรวมไปถึงความบาดเจ็บทางจิตใจ ไปจนถึงอาจต้องมีประวัติอาชญากรตามมา แม้ว่าทั้งกฎหมายไทยและสากลก็ถือหลักการไม่ตีตราเด็ก 
แต่เรื่องเหล่านี้จะมีทางออกอย่างไรชวนกันมาติดตามฟังกันได้

https://www.youtube.com/watch?v=4CkgC7F-RWA
.....


ประชาไท Prachatai.com
17 hours ago
·
Q : การที่เด็กและเยาวชนโดนคดีทางการเมืองส่งผลกระทบยังไงบ้าง?

A : มันกระทบต่อความคิดความเข้าใจที่ถูกต้องของเขา คือเด็กเขามีข้อมูล รับรู้ข่าวสาร เด็กส่วนใหญ่เขามีความเคารพว่าคนเท่าเทียมกัน เชื่อในสิทธิรัฐธรรมนูญ พอไม่เป็นแบบนั้นทำให้เขาสงสัยว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนในกระบวนการยุติธรรมไม่เคารพกฎหมายเสียเอง ไม่เป็นอิสระจากอำนาจ และมันกระทบถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การมีส่วนร่วมในการชุมนุมของเขา ซึ่งอันนี้เป็นหลักการพื้นฐานของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มันก็ทำให้เด็กต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ไม่กล้าที่จะออกมาชุมนุม ถ้าออกมาชุมนุมก็อาจจะโดนคดีได้

.
พบกับ ‘พี่เกล้า’ หรือ คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ ทนายของน้องๆ เยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563-2565 มาเล่าให้ฟังถึงปัญหาที่เยาวชนเหล่านี้ต้องเผชิญในกระบวนการยุติธรรม มีตั้งแต่ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าสลายการชุมนุมจับกุมควบคุมตัว จนมาถึงขั้นตอนดำเนินคดีในศาลและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไม่ได้มีแค่ความบาดเจ็บทางกาย แต่ยังรวมไปถึงความบาดเจ็บทางจิตใจ ไปจนถึงอาจต้องมีประวัติอาชญากรตามมา แม้ว่าทั้งกฎหมายไทยและสากลก็ถือหลักการไม่ตีตราเด็ก

แต่เรื่องเหล่านี้จะมีทางออกอย่างไร รับชมแบบเต็มๆ ได้ที่ 

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1206262784881360&set=a.643704854470492




"ราคาของการต่อสู้ที่ต้องจ่าย คือหายนะ แต่ผมยอม" ชีวิตปัจจุบันของ ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ ‘ผิดหวัง’ แต่ยัง ‘สู้ต่อ’


Matichon Weekly - มติชนสุดสัปดาห์
13 hours ago
·
คดีผมเขาเรียก “นักโทษการเมือง” หรือเป็น “นักโทษทางความคิด” คือคนที่มีความคิดแตกต่างแล้วก็โดนดำเนินคดี ในฐานะที่คุณคิดเห็นไม่เหมือนเขา ก็อาจจะเรียกว่าเป็น “คนนอกคอก” ก็ได้

เพราะฉะนั้น พอเราโดน “คดีทางการเมือง” แบบนี้ แล้วต้องไปถูกจองจำสูญเสียอิสรภาพ เราไม่ได้อยู่เพื่อรอวันออกจากคุก โดยปกติ คนเป็นนักโทษถูกจองจำต้องเขียนบนฝาผนังว่ากี่วันแล้ว เมื่อไหร่จะออก หรือหาทางที่จะออกให้ได้ ถ้าออกไม่ได้ ฆ่าตัวตายก็มีเยอะ อันนี้คือชีวิตของพวกที่ถูกจองจำ

แต่ของเราคิดว่า ถ้าสูญเสียอิสรภาพครั้งนี้ ก็เพื่อจะต่อสู้เรียกร้องในเรื่องเสรีภาพ เพราะเรามาจากปัญหาของการถูกจำกัดเสรีภาพความคิดเห็น เรามาจากการถูกจำกัดมิให้พูดถึงปัญหาทางการเมืองของบางสถาบันหรือองค์กร คือเราไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะฉะนั้น การถูกคดีเช่นนี้ เราก็ถือเป็น “การต่อสู้” ชนิดหนึ่ง

เหมือน “อานนท์ นำภา” เขาต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อจะบอกว่า เห็นไหม เขาต้องพูดความจริง เพื่อให้สังคมรับรู้ปัญหาที่คนไม่กล้าพูดถึง แล้วเขาพูดออกมา เมื่อถูกจองจำเขาก็ยืนหยัดที่จะต่อสู้ แม้ว่าจะถูกตัดสินจำคุกถึง 30 ปีในตอนนี้

เพราะฉะนั้น การที่เราต้องได้รับความทุกข์ทรมาน มันก็เป็นความทุกข์ทรมานที่เราได้มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง และเป็นความปรารถนาดีต่อสังคมต่อบ้านเมือง ทำให้เรายอมทนทุกข์ทรมานที่จะใช้ชีวิตสูญเสียอิสรภาพในเรือนจำ

อ่านบทสัมภาษณ์ ชีวิตปัจจุบันของ ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ ‘ผิดหวัง’ แต่ยัง ‘สู้ต่อ’

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_856280

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1158151706347027&set=a.627369302758606


อ.ปวิน เขียนเรื่องป้าอัญชัญที่ได้รับอิสรภาพในวันนี้ เรื่องราวนี้ทำให้เห็นว่าการใช้กฎหมายที่รุนแรงและขาดความยืดหยุ่น อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่โหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ลองคิดว่าถ้าคนในครอบครัวคุณถูกพรากอิสรภาพไป คุณจะรู้สึกอย่างไร


Pavin Chachavalpongpun
10 hours ago
·
วันนี้วุ่นเรื่องงานทั้งวัน แต่อยากเขียนเรื่องป้าอัญชัญที่ได้รับอิสรภาพในวันนี้ค่ะ (และเพื่อนคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง) สำหรับเรื่องราวของป้าอัญชัญ ดิชั้นมองว่ามันเป็นเรื่องที่เกินกว่าคำว่าการพิจารณาคดีทางกฎหมายไปแล้ว เพราะมันทำให้เราได้เห็นว่า ชีวิตคนคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร เพียงเพราะการกระทำที่อาจถูกมองว่าเป็นการแสดงออกทางความคิดเท่านั้น เรื่องราวของป้าอัญชัญเป็นเหมือนบทเรียนราคาแพงที่สังคมต้องจ่าย เพื่อให้เราได้ตระหนักว่ามาตรา 112 นั้นไม่ได้ส่งผลแค่ตัวบทกฎหมาย แต่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนจริงๆ ค่ะ ชีวิตกว่า 8 ปีในเรือนจำไม่ใช่แค่การจองจำทางกายภาพ แต่ยังเป็นการจองจำทางจิตใจ การงาน และอนาคตที่ต้องสูญเสียไปทั้งหมด

...ดิชั้นอยากให้เรามองเรื่องนี้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะของนักการเมืองหรือนักเคลื่อนไหว เพราะไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่กับสิ่งที่ป้าอัญชัญเคยทำ แต่เรื่องราวนี้ทำให้เห็นว่าการใช้กฎหมายที่รุนแรงและขาดความยืดหยุ่น อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่โหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ลองคิดว่าถ้าคนในครอบครัวคุณถูกพรากอิสรภาพไป คุณจะรู้สึกอย่างไร

...การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112 จึงไม่ใช่แค่การเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมาย แต่เป็นการเรียกร้องให้สังคมไทยยอมรับในความหลากหลายทางความคิด และเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องมีใครต้องใช้ชีวิตในเรือนจำเหมือนป้าอัญชัญอีกต่อไป ดิชั้นหวังว่าเรื่องราวของป้าอัญชัญจะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ไทยเป็นสังคมที่เคารพในสิทธิมนุษยชน และความเห็นต่างอย่างแท้จริงค่ะ

...ปล: ดิชั้นได้เริ่มโครงการ 112Watch มาสักพักแล้ว เพื่อเป็นแคมเปญที่ถกเถียงเรื่องมาตรา 112 ในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อให้มาตรานี้ได้รับการปฏิรูปและในที่สุดต้องถูกยกเลิกไปค่ะ
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=9965273113574362&set=a.104469196321519



ปล่อยตัว 6 ผู้ต้องขังทางการเมืองที่เข้าเกณฑ์อภัยโทษ แต่ยอดผู้ถูกจองจำยังอยู่ที่ 47 คน


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13 hours ago
·

ปล่อยตัว 6 ผู้ต้องขังทางการเมืองที่เข้าเกณฑ์อภัยโทษ แต่ยอดผู้ถูกจองจำยังอยู่ที่ 47 คน
.
.
วันที่ 27 ส.ค. 2568 ผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองจำนวน 6 คน ได้แก่ อัญชัญ ปรีเลิศ, สมบัติ ทองย้อย, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ, ธนายุทธ ณ อยุธยา, ธนพร และ ทีปกร ทยอยได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ 5 แห่ง หลังเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2568 ที่ออกมาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
.
เวลา 10.30 น. #อัญชัญ อดีตข้าราชการวัย 69 ปี ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกจองจำรวมกันนานที่สุดเท่าที่ทราบข้อมูล คือเป็นระยะ 8 ปี 4 เดือน 19 วัน (รวมในสองช่วงเวลาระหว่างพิจารณาคดีและหลังคดีสิ้นสุด) ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิง กลาง จากโทษที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 43 ปี 6 เดือน ในคดีเผยแพร่คลิปเสียงรายการวิทยุของ “บรรพต”
.
ในช่วงเวลาเดียวกัน #ธนพร แม่ลูกอ่อนจากจังหวัดอุทัยธานี วัย 25 ปี ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษธนบุรี หลังถูกคุมขังมาเป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน 1 วัน จากโทษของศาลฎีกาที่ลงจำคุก 2 ปี กรณีคอมเมนต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 1 ข้อความ
.
รวมทั้ง #ทีปกร อดีตหมอนวดแผนไทยอิสระ วัย 40 ปี ผู้ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 ก็ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขาถูกคุมขังมาเป็นระยะเวลา 2 ปี 2 เดือน 9 วัน กรณีโพสต์และแชร์คลิปตั้งคำถามถึงสถาบันกษัตริย์ และถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี
.
ทางด้านที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 11.00 น. สมบัติ ทองย้อย และ “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ สองผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ก็ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเช่นกัน
.
กรณี #สมบัติ อดีตการ์ดเสื้อแดงวัย 56 ปี เขาถูกคุมขังในสองช่วงเวลาระหว่างต่อสู้คดีและหลังคดีสิ้นสุดรวมกัน 2 ปี 8 เดือน 27 วัน จากโทษที่ถูกศาลอุทธรณ์จำคุกรวม 4 ปี กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” และอีก 2 ข้อความ
.
ส่วน #ขนุน นักกิจกรรมวัย 23 ปี ถูกคุมขังมาเป็นระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน 2 วัน จากคดีปราศรัยในการชุมนุม "18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์" เมื่อปี 2563 และถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี ก่อนเขาตัดสินใจไม่ต่อสู้คดีต่อ
.
นอกจากนั้น เวลาประมาณ 10.50 น. ยังมีรายงานว่า "บุ๊ค" #ธนายุทธ ณ อยุธยา ศิลปินฮิปฮอปวง Eleven Finger ผู้ถูกคุมขังในคดีครอบครองวัตถุระเบิดในช่วงการชุมนุมทะลุแก๊ส ก็ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำกลางบางขวางด้วย
.
บุ๊คถูกพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน และถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. 2566 ก่อนเข้าเกณฑ์อภัยโทษ ทำให้ถูกขังไปเป็นระยะเวลารวม 1 ปี 11 เดือน 5 วัน
.
.
สำหรับการอภัยโทษดังกล่าว เป็นการอภัยโทษเป็นการทั่วไป ในโอกาสสำคัญในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องขังคนใดก็ตามที่เข้าเกณฑ์ตามที่กำหนดใน พ.ร.ฎ. ก็จะได้รับการปล่อยตัว หรือได้รับการลดหย่อนโทษ ไม่ได้เป็นการขออภัยโทษเป็นการเฉพาะราย ซึ่งต้องยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลแต่อย่างใด
.
โดยคาดว่ายังมีผู้ต้องขังทางการเมืองที่คดีสิ้นสุดแล้วอีกบางส่วน เข้าเกณฑ์อภัยโทษที่ออกมา และจะทยอยได้รับการปล่อยตัวในช่วง 2-3 เดือนนี้ โดยกฎหมายกำหนดให้เรือนจำจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการอภัยโทษในกำหนดภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับ
.
.
ผลการปล่อยตัวดังกล่าว ทำให้ยอดผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองเท่าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนทราบข้อมูลลดลงเล็กน้อย อยู่ที่จำนวนอย่างน้อย 47 คน แยกเป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี อย่างน้อย 28 คน ผู้ต้องขังคดีถึงที่สุดแล้ว 18 คน และเยาวชนที่ถูกคุมขังในสถานพินิจอีก 1 คน
.
ทั้งนี้ วานนี้ (27 ส.ค.) มียอดผู้ต้องขังเพิ่มขึ้น 3 ราย กรณีจำเลยคดีถูกกล่าวหาจากเหตุระเบิดที่บริเวณหน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ ระหว่างการชุมนุม #ม็อบ16มกรา64 ซึ่งถูกศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา เป็นลงโทษจำคุกถึง 33 ปี 4 เดือน เนื่องจากเห็นว่ามีความผิดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน โดยอยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นฎีกา
.
นอกจากนี้ในช่วงอาทิตย์นี้ ศูนย์ทนายฯ ยังเพิ่งทราบว่ามีผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกคุมขังในชั้นสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อีก 1 ราย และยังอยู่ระหว่างติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์จากลิงก์https://tlhr2014.com/archives/77805
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ดูตารางข้อมูลผู้ต้องขังทางการเมือง 
https://www.facebook.com/photo?fbid=1178765180760617&set=a.656922399611567


คลิป LIVE! ด่วน ปล่อยตัวแล้ว "ป้าอัญชัน-สมบัติ ทองย้อย-ขนุน สิรภพ"


LIVE! ด่วน ปล่อยตัวแล้ว "ป้าอัญชัน-สมบัติ ทองย้อย-ขนุน สิรภพ"

สำนักข่าวราษฎร

Streamed live 16 hours ago

https://www.youtube.com/watch?v=ituUHcBzpTE



อจ.หมอสุรัตน์ พูดถึง เทคนิค การพูด กลการพูด หมอบี


สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์
4 hours ago
·
ดูหมอบี หลายเทป ทั้งใหม่เก่า ทั้งทายว่าเห็นผี ระลึกชาติ จนถึงสัมภาษณ์คุณหนุ่ม หรือ แก้ตัวกับนักข่าว

เค้ามีเทคนิคของ ที่ใช้คือ “ถามนำ” (leading questions) ก่อน [นอกจากการมีการหาข้อมูลคู่สนทนา] เพื่อทำให้คู่สนทนาหรือผู้ถูกถามเหมือนกับถูกชี้ทางให้ตอบไปตามกรอบที่เขาปูไว้ ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากให้คนพูดเรื่อง “แม่บ้าน” ก็อาจถามว่า
• “ที่บ้านมีใครทำกับข้าวให้ใช่ไหมครับ?”
• “ผู้หญิงที่บ้านชอบทำกับข้าวหรือเปล่า?”

จนอีกฝ่ายตอบว่า “ใช่ครับ แม่ทำ” แล้วก็จับประเด็นตรงนั้นมาใช้ต่อ

เออ มัน ฉลาดวุ้ย คนถูกถาม ก็จะแบบ รู้จริงด้วย แม่นวุ้ย

เวลาถูกไล่ถามในคดี ก็ ใช้แบบนี้

พอเอามาใช้ในบริบท คดีหรือการถูกซักถาม เทคนิคนี้จะกลายเป็น การย้อนกลับไปใช้คำถามนำแทนการตอบตรง ๆ
• แทนที่จะตอบแบบเปิดเผย → ใช้ถามนำคืนเพื่อตั้งกรอบ
• เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ถูกซักถาม” ไปเป็น “ผู้ควบคุมบทสนทนา”
• คนฟังจะเผลอหลุดเข้ามาเล่นในกรอบที่เขาตั้งไว้เอง


เช่น

ถ้าโดนถามว่า
• “คุณรู้เห็นกับเหตุการณ์นี้ไหม?”

แทนที่จะตอบว่า “รู้” หรือ “ไม่รู้” → ใช้ถามนำกลับ เช่น
• “คุณหมายถึงวันที่มีคนนั้นอยู่ด้วยใช่ไหมครับ?”
• “ที่ว่ารู้เห็น หมายถึงเห็นด้วยตาเอง หรือหมายถึงได้ยินจากคนอื่น?”

ตรงนี้ทำให้คู่ถามต้อง “ปรับความหมาย” และอธิบายเพิ่ม → กลายเป็นว่า คนถามต้องตามเกมของเขา



เทคนิคนี้ ฉลาด เพราะปรับเกมส์
• เทคนิค “ถามนำก่อน” คือ ควบคุมทิศทางการสนทนา
• ช่วยลดแรงกดดันเวลาโดนไล่ถามตรง ๆ
• เป็นการ ซื้อเวลา และ เลี่ยงคำตอบที่เสียเปรียบ
• ใช้ได้ทั้งกับการสื่อวิญญาณ (สร้างบรรยากาศให้คู่สนทนา “ตกลงไปในกรอบ”) และการถูกซักถามจริง (กันตัวเองจากการถูกต้อนให้จนมุมเร็วเกินไป)

มันมีวิจัย ว่าคำถามนำแบบนี้ เปลี่ยนความทรงจำไปในทิศทางที่คนถามกลับต้องการได้

leading question ที่เปลี่ยนความทรงจำ (memory distortion) เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ดังที่สุดใน cognitive psychology และ forensic psychology

มันมีกลไกว่า ทำไมคำถามนำเปลี่ยนความทรงจำได้ เรียก Misinformation Effect

เพราะคนเรามี “ช่องโหว่” ของความจำ คือ post-event information (ข้อมูลที่ได้รับหลังเหตุการณ์) สามารถ “เขียนทับ” ความทรงจำจริง

ถ้าได้รับคำถามนำหรือข้อมูลเสริมแบบชี้นำ → สมองจะ integrate เข้ากับ memory เดิม จนกลายเป็น “ความทรงจำใหม่”

อีกกลไกนึงเรียก Source Monitoring Error
คือ คนไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่า “ข้อมูลนี้มาจากการเห็นเอง หรือมาจากคำถาม/คำบอกเล่า” → ทำให้เชื่อมั่นว่าคือความจำของตนเอง

หมอดู หมอเดา นักหลอกล่อ ต้มตุ๋น หรือ เทคนิคที่ใช้ของพวก ทนายความ ก็ ใช้อันนี้แหละครับ

[ขอเติมนะ บางคนบอก แม้น แม่น สิ่งลี้ลับ ไม่เคยเจอ ไม่ขอ comment นะ เรา ดู เท่าที่เราสังเกตเห็น จริง ไม่จริง ไม่รู้ ]

- อจ สุรัตน์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1339426434857785&set=a.340145961452509