วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 26, 2568

จะ “เหาะเลยลงกา” หรือ ‘คางคกขึ้นวอ’ ก็พอกัน เมื่อเจาะจงถึงกรณี แม่ทัพภาค ๒ พล่ามสามหาวเรื่องยิงก่อนยิงหลัง เช่นเดียวกับ ตลก.รธน.อ้างยุบพรรคการเมือง แก้วิกฤตชาติ

คนแบบที่เขาเรียกกันว่า คางคกขึ้นวอมีความหมายครอบคลุมถึงกรณีที่ อจ.สมฤทธิ์ ลือชัย อธิบายอาการของแม่ทัพภาค ๒ ด้วยคำว่า “เหาะเลยลงกา” ที่รวมไปถึงกรณี ตลก.รธน.อวดอ้างศักดายุบพรรคการเมืองเพื่อแก้วิกฤตชาติด้วย

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค ๒ เดี๋ยวนี้เป็นคนดังเลยปากไม่อยู่สุข ล่าสุดพูดถึงกรณีพิพาทกับเขมร ในความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงปืนโป้งป้างเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่รอยต่อ เนื่องเพราะการพิพาทยังไม่ยุติ ว่าถึงเรื่องใครยิงก่อนยิงหลังอย่างไร ต้องทำใจ

อันนี้ อจ.สมฤทธิ์ ได้วิเคราะห์อาการนายทหารกร่างไว้ว่า “ฝากให้แม่ทัพภาคที่ ๒ นำไปคิดน่ะครับ ด้วยความหวังดีว่า อย่าเหาะเลยลงกา” โดยอธิบายท้าวความไปยังวรรณคดีรามเกียรติ์ ตอนที่พระรามใช้หนุมานไปงานราชการที่ลงกา

หนุมานดันไปเผาลงกาเสียนี่ “จึงมีสำนวนที่ว่าเหาะเลยลงกาคือคนที่ทำงานเกินสั่ง ทำงานนอกคำสั่ง คนประเภทนี้ ไม่เหมาะที่จะใช้งาน ถ้าจะใช้ต้องกำหราบไม่งั้นจะเสียการ” ไม่ควรปากพล่ามสามหาว จะต้องไปท้าตีท้าต่อย ยั่วยุ

ฉันใดก็ฉันนั้น ในประเทศนี้นอกจากทหารแล้วยังมีบุคคลอีกประเภทที่ชอบเหาะ ข้าม ลงกาไปเสมอ เป็นพวกชอบจัดการเสียเอง ตามอำเภอใจนอกเหนือหลักการ ด้วยสำคัญตนเองผิดๆ ว่าตำแหน่งงานอาชีพสูงส่งอยู่เหนือคนส่วนใหญ่

จิรนิติ หะวานนท์ ตลก.รธน.คนหนึ่งได้ขึ้นบรรยายในโอกาสประชุมศาลรัฐธรรมนูญแห่งเอเซีย (AACC) อันมีตัวแทนจากนานาประเทศเข้าร่วม อันได้แก่ สาธารณรัฐทูร์เคีย และสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน เป็นต้น ในหัวข้อ ๓ ทศวรรษ ของศาล รธน.ไทย

เขายกตัวอย่างผลงานของศาล รธน.มากมาย รวมถึงการขยายบทบาทของศาลฯ เข้าไปสู่การยุบพรรคการเมือง ได้แก่ยุบพรรคที่เสนอชื่อพระราชวงศ์ชั้นสูงเป็นแคนดิเดทนายกฯ และพรรคที่มีการกู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรค เป็นต้น

เขาอ้างว่าการยุบพรรคเหล่านั้น เป็นบทบาทที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เข้ามาแก้ไขวิกฤตของชาติ ซึ่งเป็นการอ้างศักดาเกินจริง ในเมื่อเหตุแห่งการยุบพรรคทั้งสองครั้งดังตัวอย่างนั้น ไม่ใช่วิกฤตประเทศ หากเป็นพัฒนาการทางการเมืองซึ่งชนชั้นนำไม่สบอารมณ์

จึงต้องฟัง อจ.Prinya Thaewanarumitkul สอนสั่งในเรื่องหลักการที่ถูกต้อง ว่า “บทบาทหน้าที่หลักของ #ศาลรัฐธรรมนูญ คือ #ปกป้องสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ศาลรัฐธรรมนูญประเทศต่างๆ จึงไม่ยุบพรรคการเมืองกันง่ายๆ

เพราะการยุบพรรคการเมืองมิได้กระทบแค่กรรมการบริหารพรรค แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ กระทบสิทธิของประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรค และ #ประชาชนที่เลือกพรรคการเมืองนั้น ถ้ามิใช่กระทำการถึงขั้นล้มล้างการปกครองอย่างที่พรรคทหารทำ

ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัท “ศาลก็จะลงโทษผู้จัดการหรือกรรมการบริษัท ไม่ใช่ยุบบริษัท” ดังนั้น “การยุบพรรคการเมือง #แทบนับไม่ถ้วน จึงไม่ควรจะไปนับเป็นว่าป็นผลงาน”

(https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/9bUva4mPJ, https://thainews.prd.go.th/thainews/news/view/1217457/?bid=1 และ https://www.facebook.com/somrit.luechai/posts/ktcmwDNSCNFQ) 

..."ในความเป็นพ่อของผู้ชายคนนี้ เขาไม่เพียงหยิบยื่นป้อนข้าวคำนั้นให้ลูกชายของเขา แต่เขาพยายามหยิบยื่นอนาคตให้ลูกๆของพ่อ ของผู้ชายทั้งประเทศ ให้ได้มองเห็นความหวังความฝันและอนาคต บนแผ่นดินนี้".... We respect and believe in you. #อานนท์นำภา


Suwagee Klampaiboon
December 5, 2024
·
..."ในความเป็นพ่อของผู้ชายคนนี้ เขาไม่เพียงหยิบยื่นป้อนข้าวคำนั้นให้ลูกชายของเขา
แต่เขาพยายามหยิบยื่นอนาคตให้ลูกๆของพ่อ ของผู้ชายทั้งประเทศ ให้ได้มองเห็นความหวังความฝันและอนาคต บนแผ่นดินนี้"....
We respect and believe in you.
#อานนท์นำภา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10160074792936841&set=a.10152051646016841
8 hours ago
·
พ่อกับลูกมีความสุขมากขนาดไหนที่ได้เจอกันเพียงไม่กี่นาที
ถ้าพวกเขาได้เล่นด้วยกันทุกวัน จะมีความสุขมากขนาดไหน
คนแบบอานนท์ นำภานี่หรือที่ศาลของประเทศนี้ตัดสินจำคุก 24 ปี 33 เดือน 20 วัน เขาทำผิดอะไร?
ข้อเท็จจริงคือ เขาเรียกร้องให้มีการทบทวนแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ถูกต้อง เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของ #สถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย เขาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้เป็นสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบสังคมอารยะ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น เขาเรียกร้องให้เลิกการอ้างสถาบันกษัตริย์มาแบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย และเลิกการทำรัฐประหารที่อ้างว่าปกป้องสถาบันกษัตริย์
เขาคาดหวังให้ #สถาบันรัฐสภา และ #สถาบันพรรคการเมือง สร้างความเชื่อถือศรัทธากับประชาชน ด้วยการเป็นสถาบันทางการเมืองที่สามารถนำข้อเรียกร้องของประชาชนเรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาอภิปรายในสภาเพื่อหาทางออกอย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องสูญเสียอิสรภาพและชีวิตในความขัดแย้งทางการเมืองอีกต่อไป
สาระสำคัญของข้อเรียกร้องของอานนท์และนักโทษทางความคิดทุกคนมีเพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้สถาบันกษัตริย์เสียหายได้จริงแต่อย่างใด มีแต่จะทำให้สถาบันกษัตริย์มีความเป็นประชาธิปไตย และเป็นที่ยอมรับเชื่อถือของปวงชนชาวไทยและนานาชาติอย่างแท้จริง
#นิรโทษกรรมประชาชนรวม112 เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่าสถาบันพรรคการเมืองและสถาบันรัฐสภาสามารถที่จะเป็นความหวัง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้จริง เป็นสถาบันที่ทรงเกียรติและเป็นที่เชื่อถือของประชาชนและนานาชาติได้จริง
.....





ออ : อยากได้อะไรขอให้บอก - : นิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองทุกคดีทุกข้อหาค่ะ


Jaran Ditapichai
12 hours ago
·
จะอยู่ต่อ ลาออก ยุบสภา นายกรัฐมนตรีควรทราบ ทนายอานนท์ นำภา ประชาชนที่ดีเลิส
คนหนึ่ง ถูกศาลตัเสินจำคุกเพิ่มอีกคดี รวม 24 ปี 33เดือน 20 วัน แล้ว
เร่งออกพรบ.นิรโทษกรรมผู้ต้องหาทางการเมือง
.....


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
6 hours ago
·
ศาลลงจำคุก “อานนท์” เพิ่มอีก 2 ปี 8 เดือน คดี ม.112 ปราศรัยชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว ส่วน “ฮิวโก้” ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา
.
.
วันที่ 25 มิ.ย. 2568 เวลา 10.00 น. ศาลอาญนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และ“ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563
.
ศาลพิพากษาว่าทั้งคู่มีความผิดใน 3 ข้อหา ลงโทษจำคุกมาตรา 112 อานนท์ 4 ปี และจิรฐิตา จำคุก 3 ปี ปรับในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียง คนละ 15,200 บาท ก่อนลดโทษลงหนึ่งในสาม จำคุกอานนท์ 2 ปี 8 เดือน จำคุกจิรฐิตา 2 ปี ปรับคนละ 10,200 บาท โดยในส่วนของจิรฐิตาให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี

.

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 กลุ่มราษฎรนัดหมายชุมนุมวิจารณ์การทำงานของสถาบันตุลาการ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี และยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ที่ห้าแยกลาดพร้าว ในเวลา 16.00 น. ก่อนจะประกาศยุติการชุมนุมอย่างสงบในเวลา 00.00 น. โดยมีชื่อการชุมนุมอีกชื่อหนึ่งว่า “ไล่จันทร์โอชาออกไป”
.
ตลอดการชุมนุมมีเวทีปราศรัย ซึ่งมีแกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย รวมทั้งยังมีกิจกรรมจำลองบัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญ กิจกรรมพิธีกรรม แจกกล้วยลิง – ทุบศาลพระภูมิที่ทำจากปูน รวมถึงกิจกรรมเผาภาพ และฉีกตำรารัฐศาสตร์ของหนึ่งในตุลาการ
.
ต่อมา ตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้ออกหมายเรียกแกนนำและผู้ปราศรัยในกิจกรรมดังกล่าวไปแจ้งข้อกล่าวหา โดยกรณีของอานนท์ นำภา ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 ส่วน“ฮิวโก้” จิรฐิตา ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2564
.
ทั้งสองถูกกล่าวหาใน 9 ข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116, มาตรา 215, มาตรา 216, ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10, กีดขวางทางสาธารณะ ตามมาตรา 385, พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 108 และ 114, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
.
ในชั้นศาล จำเลยทั้งสองต่อสู้คดี ยืนยันว่าการชุมนุมนั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่ชุมนุมไม่แออัด และไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 จําเลยยังใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตและเหตุการณ์ที่ปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏตามข่าวและตามประวัติศาสตร์ไทยล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

.
ความโกลาหลเกิดขึ้นในห้อง 714 เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลสั่งเก็บโทรศัพท์ และให้ประชาชนออกจากห้องพิจารณาคดี
.
วันนี้ (25 มิ.ย.68) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 714 ฮิวโก้พร้อมทนายความ ได้เดินทางมาถึงห้องพิจารณา ในวันนี้เธอเดินทางมาจากที่พักในย่านรามคำแหง ส่วนทางด้านอานนท์ยังไม่ถูกเบิกตัวมายังห้องพิจารณา
.
ในช่วงเช้านั้น ยังมีการจัดกิจกรรม “Solidarity for Arnon: We Are All Arnon – Raise Your Sign, Stand for Justice” โดยนักกิจกรรมและ Amnesty International บริเวณสะพานลอยและป้ายรถเมล์หน้าศาลอาญา
.
ส่วนภายในห้องพิจารณา คับคั่งไปด้วยประชาชนที่มาร่วมรอฟังคำพิพากษา พร้อมทั้งบรรดาญาติและเพื่อนสนิทของจำเลยทั้งสอง โดยฝั่งของ ‘อานนท์’ นั้นมีภรรยาและลูกชายติดตามมาให้กำลังใจในวันนี้ด้วย ส่วน ‘ฮิวโก้’ ระบุว่าตนเองมีกำลังใจดี เพราะมีเพื่อน ๆ ที่สนิทสนมมาร่วมให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม รวมถึงเพื่อนร่วมงานจากพรรคประชาชน เช่น ชัยธวัช ตุลาธน และ รังสิมันต์ โรม
.
นอกเหนือจากประชาชนโดยทั่วไปแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ได้แก่ ilaw, CrCF และ Amnesty International รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสถานทูตฯ มาเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาในวันนี้ด้วย
.
บรรยากาศก่อนศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ของศาลแจ้งว่าจะเก็บเครื่องมือสื่อสารของทุกคนภายในห้องพิจารณาแล้วนำไปบรรจุไว้ในกล่องแยกต่างหาก โดยระบุว่าไม่อนุญาตให้ผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีใช้เครื่องมือสื่อสารซึ่งเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับศาลอาญา นำไปสู่การถกเถียงกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนบางส่วนว่าการเก็บโทรศัพท์นั้นเป็นการบังคับที่เกินกว่าเหตุ ประชาชนสามารถปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเก็บไว้กับตัวก็
.
.
ศาลสั่งย้ายห้องพิจารณาจากห้อง 714 ไปยังห้องเวรชี้ 1 แทน โดยอ้างเรื่องมาตรการความปลอดภัย
.
เวลา 09.35 น. ภายหลังจากนั่งรอการอ่านคำพิพากษาไประยะหนึ่ง ก็ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าศาลประสงค์จะให้จิรฐิตา และทนายของจำเลย ลงไปยังห้องเวรชี้ 1 เพื่อรับฟังคำพิพากษาแทนห้องพิจารณาเดิม โดยมีทนายความของอานนท์อยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล แต่ฝ่ายทนายจำเลยยืนยันว่าในนัดหมาย นัดไว้ที่ห้องพิจารณาที่ 714 ไม่ใช่ห้องเวรชี้ การอ่านคำพิพากษาต้องอ่านโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนได้
.
ในตอนแรก เจ้าหน้าที่กล่าวกับทนายว่าผู้พิพากษายืนยันว่า จะอ่านคำพิพากษาที่ห้องเวรชี้ 1 ซึ่งห้องดังกล่าวนี้ประชาชนจะไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังคำพิพากษาได้ แต่จะอนุญาตเฉพาะทนายจำเลยและญาติบางส่วนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ โดยระบุสาเหตุทำนองเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย ไม่เป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยฯ
.
อย่างไรก็ดีทนายจำเลยได้แจ้งว่า อานนท์ต้องขึ้นเบิกความในอีกคดีหนึ่งที่มีนัดสืบพยานในห้องพิจารณาคดีชั้น 8 อยู่แล้ว เหตุใดจะต้องให้ตัวจำเลยกับทนายความเดินขึ้นลงหลายรอบ
.
ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ศาลอาญาแจ้งกับฝ่ายจำเลยว่า หากจิรฐิตาไม่ลงไปยังห้องเวรชี้ 1 อาจส่งผลกระทบกับเรื่องการพิจารณาให้ประกันตัวได้ แต่ทางจำเลยก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่มีการลงไปด้านล่างแต่อย่างใด โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชน
.
ภายหลังศาลจึงยอมให้มีการอ่านคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 714 ดังเดิม โดยมีเงื่อนไขว่าจะอนุญาตให้มีผู้เข้าฟังการพิจารณาจำนวน 6 คนเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นญาติหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับจำเลย คนอื่น ๆ ที่เหลือห้ามเข้าห้องพิจารณา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนบางส่วนต้องเดินทางออกจากห้องพิจารณาไป แม้จะยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยืนกรานจะร่วมฟังคำพิพากษาด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสถานทูตที่มาร่วมสังเกตการณ์คดี
.
ต่อมาเวลา 11.21 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษา
.
.
ศาลสั่งจำคุก “อานนท์”2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา จำคุก “ฮิวโก้” 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี
.
คำพิพากษาสามารถสรุปสาระสำคัญออกมาได้ดังนี้
.
ประเด็นพิจารณาที่ 1: จำเลยที่ 1 (อานนท์) และ 5 (จิรฐิตา) มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้าหรือไม่
.
ในประเด็นเรื่องการจัดการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ระบุเอาไว้ว่า “ผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะ ให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง”
.
อย่างไรก็ดีใน มาตรา 3 (6) ก็ได้มีการระบุไว้ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ใช้บังคับในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยขณะที่เกิดเหตุการชุมนุมดังกล่าวนั้น มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ดังนั้น พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จึงจะไม่ถูกนำมาบังคับใช้กับกรณีนี้

.

ประเด็นพิจารณาที่ 2: การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หรือไม่

กรณีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แม้จำเลยจะมีการกล่าวอ้างว่าได้ทำการชุมนุมในที่โล่งแจ้ง มีการกล่าวอ้างในเรื่องของ สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามกฎหมาย แต่ถ้าหากการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเป็นไปโดยขัดหรือละเมิดต่อกฎหมายอื่น ๆ ย่อมจะกระทำไม่ได้

ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าจากการชุมนุมที่จัดขึ้นบริเวณห้าแยกลาดพร้าวนั้นมีประชาชนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความแออัด อีกทั้งการชุมนุมในวันนั้นยังไม่มีการตรวจคัดกรอง หรือมีมาตรการป้องกันโรคติดต่อโควิด-19 ในขณะเกิดเหตุ

ดังนั้นเมื่อจำเลยได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 จำเลยจึงมีความผิดตามข้อกำหนดที่ออกตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งระบุ “ห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัด หรือ กระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย”

กรณีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ศาลเห็นว่าในประกาศฉบับที่ 13 ซึ่งออกตามความใน มาตรา 35 พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ได้กำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนให้รับโทษตาม มาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ประกาศนั้นก็ได้สิ้นสุดอายุการบังคับใช้ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุในคดีนี้แล้ว ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ

.

ประเด็นพิจารณาที่ 3: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจรหรือไม่

ประเด็นนี้ศาลเห็นว่าในทางนำสืบพยานของโจทก์ ได้ความเพียงว่าจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุม กรณีความของตัวการร่วมต้องมีการกระทำร่วมด้วย แต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกีดขวางการจราจรอย่างใด จึงไม่นับว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ และกีดขวางทางสาธารณะ

.

ประเด็นพิจารณาที่ 4: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ตามมาตรา 215 และ 216 หรือไม่

ประเด็นนี้ศาลเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันเป็นที่ยุติว่าไม่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมมีการพกพาอาวุธใด ๆ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกันมั่วสุมอันมีเจตนาพิเศษเพื่อก่อความไม่สงบ แม้เจ้าหน้าที่จะได้สั่งให้เลิกการชุมนุมแล้วก็ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 216 และการชุมนุมต่อไปก็ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 215

.

ประเด็นพิจารณาที่ 5: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ (มาตรา 112) และ ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116) หรือไม่
.
เมื่อพิจารณาจากคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ว่าเอาทรัพย์สินส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว ถึงจะมีการโอนย้ายทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ใช่สิทธิ์ของจำเลยที่จะพูดให้ร้าย และคำปราศรัยจำเลยที่ 5 ที่เป็นการหมิ่นพระเกียรติ แม้คำปราศรัยจะไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง แต่เข้าใจได้ว่ากษัตริย์อยู่เบื้องหลังความรุนแรงในการสลายการชุมนุม
.
ศาลเห็นว่า คำปราศรัยของจำเลยทั้งสองถือเป็นการกล่าวให้ร้าย ใส่ความองค์พระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ เป็นคำกล่าวที่ก้าวล่วง หมิ่นประมาท และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
.
แม้จำเลยจะกล่าวอ้างสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่สิทธิเสรีภาพดังกล่าวจำต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย มิใช่สิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์ หากการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นไปกระทบกับความมั่นคงของรัฐ สิทธิเสรีภาพนั้นย่อมสามารถถูกจำกัดได้ จึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
ส่วนความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม มาตรา 116 นั้น ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาสร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ให้ประชาชนก่อความไม่สงบเรียบร้อยอันละเมิดต่อกฎหมาย และไม่ปรากฏเหตุการณ์ความรุนแรง ความเสียหายเดือดร้อน จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116

.

ประเด็นพิจารณาที่ 6: จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่

ประเด็นนี้พยานโจทก์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตจตุจักรในขณะเกิดเหตุ เบิกความเอาไว้ว่าได้มีการตรวจบัญชีสารบัญแล้ว ไม่พบว่าจำเลยมีการขอใช้เครื่องขยายเสียงในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงได้กล่าวปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงโดยไม่มีการยื่นขออนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ

.

เห็นว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน สั่งลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ โดยในข้อหามาตรา 112 ลงโทษจำคุกอานนท์ 4 ปี ส่วนจิรฐิตา ลงโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับคนละ 15,000 บาท และ ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ลงโทษปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท

จำเลยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษ 1 ใน 3 ในข้อหามาตรา 112 คงจำคุกอานนท์ 2 ปี 8 เดือน ส่วนจิรฐิตาลงโทษจำคุก 2 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับคนละ 10,000 บาท และ ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ลงโทษปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท

เห็นว่า จิรฐิตากระทำผิดครั้งแรก และหลังถูกดำเนินคดีก็ไม่ได้กระทำผิดซ้ำ สมควรให้โอกาสกลับตนเป็นคนดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี โดยให้คุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี ทำบริการสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 36 ชั่วโมง

.

หลังศาลอ่านคำพิพากษาและรายงานกระบวนเสร็จสิ้น จิรฐิตาได้สวมกอดกับญาติและเพื่อนที่มาให้กำลังใจ และรอเอกสารเพื่อดำเนินการจ่ายค่าปรับ ด้านอานนท์ถูกนำตัวไปเข้าเบิกความได้ในคดีชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ปี 2563 ที่ห้องพิจารณา 801 ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างสืบพยาน

จนถึงปัจจุบัน ในคดีที่มีคำพิพากษาของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา เขาถูกลงโทษจำคุกรวมแล้วทั้งสิ้น 24 ปี 33 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 26 ปี 9 เดือนเศษ แยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 9 คดี, คดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 จำนวน 1 คดี, คดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 คดี และคดีละเมิดอำนาจศาล 1 คดี โดยทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1130286892275113&set=a.656922399611567

https://tlhr2014.com/archives/76297






ชอบคลิปนี้มาก ตบหน้าอิพวกนักรบคีย์บอร์ด​เมืองหลวง "คุณลองคิดดู ถ้าเกิดสงครามเนี่ย คนที่เจ็บปวดที่สุดคือใคร... ชายแดน"

คนรักชาติอยู่กรุงเทพ ฯ พนมเปญ แต่คนชายแดน...? | สมฤทธิ์ ลือชัย

มติชนสุดสัปดาห์

Jun 19, 2025

คนรักชาติอยู่กรุงเทพ ฯ พนมเปญ แต่คนชายแดน...?


https://www.youtube.com/watch?v=J5VHSa9D8eU





 

We Need to Talk About อานนท์ ชายผู้นำพาให้คนเท่ากัน


We Need to Talk About อานนท์ ชายผู้นำพาให้คนเท่ากัน | Thairath Plus

Thairath Variety

Feb 21, 2024 

500 กว่ากิโลเมตร จากบ้านที่อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด

‘อานนท์ นำภา’ เดินทางมาตามหาฝันในเมืองใหญ่ กรุงเทพมหานคร

เป็นลูกชายของแม่ เป็นหลานชายของยาย เป็นพ่อของลูก เป็นสามีของภรรยา เป็นทนายความให้ผู้ถูกอยุติธรรมกลืนกิน เป็นเพื่อนของมิตรสหาย และเป็นพลังในการขับเคลื่อนเพื่อประชาชน

ที่สำคัญ เขายังเป็นมนุษย์ที่อยากเห็นมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน

10 นาทีในบทบันทึกคำบอกเล่าจากไทยรัฐพลัสนี้ คือ 10 นาทีของเรื่องราวที่ถักทอจากคนรอบตัวของอานนท์ ผู้ที่ปัจจุบันถูกคุมขังในฐานะนักโทษทางความคิด อยู่หลังรั้วเรือนจำไทย

หากสิทธิ เสรีภาพ และยุติธรรมเท่าเทียมแท้จริง ประเทศไทยน่าจะพอมีหนทางให้พื้นที่การถกเถียงเปิดกว้าง และตรงไปตรงมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ

โมงยามแห่งความหวังได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ว่าใครหลายคนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนักเคลื่อนไหวที่ถูกดำเนินคดีโดยรัฐเหล่านี้ แต่นี่คือสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องเผชิญ และอาจถึงเวลาแล้ว ที่เราจำเป็นต้องพูดถึงหลักการของความเป็นพลเมืองโดยเที่ยงธรรม


https://www.youtube.com/watch?v=rL6RYIiZTnc



“ปิดด่าน “ไทย” ได้หรือเข้าทาง “กัมพูชา”


🔴LIVE คมชัดลึก ตอน “ปิดด่าน “ไทย” ได้หรือเข้าทาง “กัมพูชา”” 25 มิ.ย. 68

Nation TV Live

Streamed live 12 hours ago 

การปิดด่านเป็น “ดาบสองคม” ต้องระวังคมที่จะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะประกาศเอง แต่กลับ “โยน” ไปให้ฝ่ายทหารทำ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ



เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่อง “ปิดด่าน”

25.06.2025
สุรชาติ บำรุงสุข
มติชนออนไลน์

ในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากกรณีช่องบก แล้วตามมาด้วยกรณีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสอง และคู่ขนานด้วยการก่อตัวของกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ อันส่งผลความตึงเครียดที่เกิดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้มากขึ้น

ในสภาวะที่เกิดปัญหาตามแนวชายแดนเช่นนี้ มักจะมีข้อเสนอที่เกิดขึ้นเป็นประจำ คือ การเรียกร้องให้มีการปิดด่าน ที่เป็นจุดผ่านแดนของประเทศ โดยหวังว่า การปิดด่านของไทยจะทำให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชา และในที่สุดแล้ว กัมพูชาจะต้องยอม ด้วยการหันกลับมาเจรจาแบบทวิภาคีกับไทย เพราะไม่สามารถทานแรงกดดันจากการปิดด่านได้

ทฤษฎีปิดด่าน

ความหวังเช่นนี้ เป็นทฤษฎีที่นักเรียนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกสอนมาเสนอถึง การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจของรัฐ ที่รัฐจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันรัฐเป้าหมาย ทฤษฎีนี้ยังสอนอีกด้วยว่า การกดดันทางเศรษฐกิจจะได้ผลจริง ก็ต่อเมื่อรัฐเป้าหมายไม่สามารถหาสิ่งของทดแทนที่เกิดจากความขาดแคลนดังกล่าวนั้นได้

ดังนั้น จึงอาจกล่าวเป็นข้อสรุปทางทฤษฎีได้ว่า จุดชี้ขาดที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจคือ “ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้” แต่ในโลกสมัยใหม่ สภาวะที่จะเกิดความขาดแคลนที่ไม่สามารถทดแทนได้นั้น อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้การขนส่งสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ เป็นไปได้อย่างกว้างขวาง จนทำให้ทฤษฎีการกดดันด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน อาจจะไม่ได้ผลจริงตามที่คาดหวัง

ตัวอย่างที่ชัดเจนในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่เรื่องการปิดด่านโดยตรง คือ มาตรการ “แซงชั่น” ทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย อันเป็นผลจากสงครามยูเครนในต้นปี 2022 นั้น ต้องยอมรับว่าการแซงชั่นนั้น ไม่ได้ส่งผลในการกดดันรัสเซียให้ต้องยุติสงครามได้จริง แม้การออกมาตรการดังกล่าว จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มากจนนำไปสู่ความล้มละลายทางเศรษฐกิจของประเทศ จนรัสเซียต้องยอมถอนกำลังรบออกจากยูเครนแต่อย่างใด และสงครามยูเครนยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจจะใกล้ตัวพวกเรามากขึ้น คือ ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในยุคสงครามเย็น ในสมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัชต์ในช่วงวิกฤตการณ์ในลาว จอมพลสฤษฏ์มักจะใช้การปิดด่านของไทยเป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะเนื่องจากลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล และต้องขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย

รัฐบาลไทยในขณะนั้น เชื่ออย่างมากว่า การกดดันด้วยมาตรการปิดด่าน จะทำให้ลาวต้องหันกลับมาประนีประนอมกับไทย แต่ฝ่ายไทยดูจะลืมเงื่อนไขการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ คือ ลาวสามารถออกทะเล และขนส่งสินค้านำเข้า ได้ทั้งจากไทยและเวียดนาม ดังนั้น เมื่อไทยออกแรงกดดันมาก ลาวจึงหันไปพึ่งการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือไฮฟองของเวียดนาม แทนการพึ่งอยู่กับท่าเรือคลองเตยของไทยแต่เพียงอย่างเดียว

ผลที่เกิดขึ้นเห็นชัดว่า ความคาดหวังว่าการปิดด่านจะเป็นแรงกดดันให้ผู้นำรัฐบาลลาว ต้องตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในขณะนั้น ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติจริงแต่อย่างใด เพราะลาวสามารถหันไปพึ่งพาการขนส่งสินค้าจากทางฝ่ายเวียดนามเหนือแทนได้เป็นอย่างดี

ปิดด่านยุคปัจจุบัน

ในบริบทของสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอาจไม่แตกต่างกันมากนัก ถ้าเราคาดหวังว่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจด้วยการปิดด่านจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย ก็อาจจะไม่เป็นจริงมากนัก

สิ่งที่ฝ่ายไทยอาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงโดยพื้นฐานคือ กัมพูชาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และยังสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตามปกติ หรือกัมพูชาไม่ได้อยู่ในสถานะของการไม่มีรัฐคู่ค้าเหลืออยู่ อีกทั้งกัมพูชาเป็นประเทศที่มีทางออกทะเล จนทำให้การปิดด่าน จะนำมาซึ่งความคาดแคลนภายในประเทศอย่างมาก จนทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมปรับท่าทีใหม่ตามความต้องการของไทยนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นจริงเท่าใดนัก

อีกทั้ง ต้องยอมรับอีกว่า กัมพูชาวันนี้ ไม่ใช่กัมพูชาในอดีตที่อ่อนแอมาก จนไทยสามารถเอาชนะด้วยการกดดันในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องถึงระดับของการใช้กำลังทหาร และความสำเร็จถ้าจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ดูจะเป็นไปตามทฤษฎีของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะในความเป็นจริง การกดดันของฝ่ายไทย ยังไม่ก่อให้เกิดสภาวะทางทฤษฎีคือ “ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้” จนต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายไทย

การปิดด่านในยุคปัจจุบันยังมี “ผลกระทบด้านกลับ” เพราะจะทำให้การขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยไปยังตลาดกัมพูชาต้องยุติไปด้วย ซึ่งอาจถูกเรียกร้องว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความ “รักชาติ” แต่ผลในความเป็นจริง การปิดชายแดน ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ชายแดนยุติลง และทั้งส่งผลให้ชีวิตชายแดนจะหยุดตามไปด้วย หรือเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “ชายแดนรบ-ชายแดนตาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย” ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจและภาคสังคมชายแดนไม่ตอบรับกับกระแสชาตินิยมในทิศทางเช่นนั้น

ท้ายบท

การปิดด่าน/ปิดชายแดนอาจจะส่งผลกระทบกับกัมพูชาในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ประเทศเป้าหมายจะต้องปรับตัวหาแหล่งสนับสนุนทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยากในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน และอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยอาจจะถูกดันออกจากกัมพูชา

สภาวะเช่นนี้จะยิ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ในอนาคต จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น และอยู่ด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น ซึ่งไม่น่าใช่ผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว ทั้งต้องตระหนักเสมอว่า การปิดด่านเป็น “ดาบสองคม” แต่ต้องระวังคมที่มากกว่าจะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน

ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะประกาศเอง แต่กลับ “โยน” ไปให้ฝ่ายทหารทำ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้าน จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสภาวะที่ การปิดด่านเป็นการแสดงออกอย่าง “ขึงขัง” เพียงเพื่อสร้างภาพแก้ตัวหลังจากความเพลี่ยงพล้ำในกรณีคลิปเสียงเท่านั้นเอง

บางทีวันนี้ ผู้มีอำนาจในการเมืองไทยควรต้องหันกลับมาถกแถลงทางยุทธศาสตร์ว่า อำนาจการกดดันจากการปิดด่านยังเป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายต่างประเทศไทยเพียงใด ?


https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_848660



คลิปเสียง ‘ฮุนเซน’ หลุด สั่งไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย อาจเป็นหมัดเด็ด ขจัดระบอบทักษิณ ออกจากการเมืองไทย โดยไม่ต้องอาศัยทหารทำรัฐประหาร ?

https://www.facebook.com/watch/?v=1256064732699561

Jom Petchpradab
Yesterday
·
หมัดเด็ดอีกดอก ที่จะกำจัด ระบอบทักษิณ และเพื่อไทย ออกจากการเมืองไทย ( โดยไม่ต้องอาศัยทหารทำรัฐประหาร )








THE STANDARD
@thestandardth

ประวิตรส่งสัญญาณถึงรัฐบาล เมื่อผู้นำไม่กล้าเผชิญหน้า จึงถูกต่างชาติเหยียบเท้า ชี้อย่าปล่อยให้ไทยเป็นพื้นที่ล่าสังหารคนเห็นต่างทางการเมือง
.
วานนี้ (24 มิถุนายน) พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา จากกรณีคลิปเสียงหลุดที่สำนักข่าว Al Jazeera เผยแพร่โดยในคลิปมีเสียงคล้ายผู้นำกัมพูชา สั่งตรงถึง ‘เคลียง ฮวด’ ให้ตามล่าคนเห็นต่างทางการเมือง แม้จะอยู่ในประเทศไทย พร้อมระบุว่า “จะจับเป็นหรือจับตายก็ได้” และต้องเอาตัวกลับให้ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในสังคมไทย โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาในคลิปยังระบุชัดว่า มีเครือข่ายอยู่ในไทย และบางส่วนอ้างว่าทำงานกับเจ้าหน้าที่ไทยด้วย
.
พล.อ. ประวิตร กล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้ถูกโยงกับคดีลอบสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ซึ่งถือสัญชาติฝรั่งเศส-กัมพูชา ที่ถูกยิงกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 โดยคนร้ายหลบหนีไปกัมพูชาได้อย่างไร้ร่องรอย แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่าความรุนแรง คือท่าทีของรัฐบาลไทยที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่าทำไมยังไม่ตอบโต้ใดๆ ชัดเจน
.
“ผมขอเตือนว่า เมื่อผู้นำไม่กล้าเผชิญหน้า ต่างชาติก็เลยกล้าเหยียบเท้าเรา เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า ประเทศไทยกำลังถูกมองว่าอ่อนแอ และถูกใช้เป็นสนามไล่ล่าทางการเมือง สมัยผมไม่เคยปล่อยให้ใครคิดว่าไทยเป็นแค่ทางผ่านหรือพื้นที่ล่าสังหาร ใครข้ามเส้นมา ผมมีวิธีให้เขากลับไปแบบไม่ลืมว่าแผ่นดินนี้มีเจ้าของ การปกป้องแผ่นดินไม่ใช่แค่หน้าที่ของทหาร แต่เป็นหน้าที่ของผู้นำที่ต้องกล้าแสดงจุดยืน และไม่ลังเลต่อการปกป้องอธิปไตยของประเทศ” พล.อ. ประวิตร กล่าว
.
พล.อ. ประวิตร กล่าวทิ้งท้ายว่า ใครจะเป็นผู้นำ ไม่สำคัญเท่ากับว่า เขากล้าปกป้องคนทุกคนที่ยืนอยู่บนแผ่นดินนี้หรือไม่ ไม่ว่าคนนั้นจะพูดภาษาอะไร หรือเห็นต่างกับใครก็ตาม ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องมีจุดยืนไม่ใช่เงียบงัน
.

ภาพ: ณาฌารัฐ​ ภักดีอาสา


วิดีโอรายการ Al Jazeera ที่เกี่ยวข้องกับคลิปฮุนเซนหลุด - Cambodia: Was the killing of ex-MP Lim Kimya a political assassination? | 101 East Documentary


Cambodia: Was the killing of ex-MP Lim Kimya a political assassination? | 101 East Documentary

Al Jazeera English

May 24, 2025 
Critics say the Cambodian government's attacks on opposition members and activists have gone global.

On January 7, 2025, former Cambodian opposition politician, Lim Kimya, was gunned down outside a busy bus station in central Bangkok.

A former Thai marine confessed to carrying out the hit as a gun for hire, but two Cambodians with ties to their country's governing party are on the run, suspected of organising the murder.

While Lim Kimya's family and friends are seeking justice, Cambodia's prime minister, Hun Manet, denies his government had any involvement.

101 East investigates the brazen killing and Cambodia's increasingly repressive government.

https://www.youtube.com/watch?v=FR39vs42N9I



ขอฉายอีกที บทกวีโต้ ไอ้หงา คาราววย ศิลปินชั่วชาติ อวยศาล


Nithiwat Wannasiri
April 30, 2021
·
กวีบทดังกล่าวของ"สหายพันตา"เขียนไว้เมื่อ กุมภาพันธ์ 2562
โดยมี"อดีตสหาย"ที่ลี้ภัยการเมือง112เขียนโต้กลับอย่างดุเดือดหลายบท อาทิเช่น กวีศรีบูรพา

"วัฒน์ วรรลยางกูร" หรือ "สหายร้อย"

"ศาลส้นตีนเคารพไปทำไม?
อยู่แดนไกลมีเสรีย่อมดีกว่า
กูทำผิดฆ่าใครหรือไรมา?
หมายจับเจ็ดข้อหา ศาลส้นตีน!"

..ไอ้เย็ดแม่ง!
จาก ไอ้หมาวัฒน์ ฝากถึง ไอ้หงา คาราววย

----
กวีศรีประชา "วิสา คัญทัพ" หรือ "สหายตะวัน"

"ศาลยังไม่สั่งผิดจับติดคุก
ศาลในยุคมืดมนอันหม่นหมอง
หงาโง่จริงหรือโง่เล่นทำเป็นมอง
ข้ามความ ถูกต้อง ครรลองธรรม"

----
กวีอดีตเหยื่อม.112 สิรภพ - "รุ่งศิลา"

ศิลปินชั่วชีวิต
❝ เมื่อหมายศาลออกมาหงาก็ทุกข์
ลนลานหลุกหลิกลี้ วนาใหญ่
หากเข้าคุกทุกขังคงบรรลัย
คราอยู่ป่า 'สุรชัย'​ ไห้.. เหม่งหม่าง ❞
#วรรคดอกทองกวี
ศิลปิน​ผมยุ่งฟุ้งความคิด
"เพื่อชีวิตตนเอง" เบ่งศักดิ์ศรี
เสพสุรา​ กัญชา​ เคล้านารี
เหิมยศถาบารมี.. แลกหมอบคลาน

พเนจรค้นหาการต่อสู้
ดั้นด้นสู่พนาลีกระพี้พล่าน
ซัดโซเซลี้พนามากราบกราน
ดึงดักดาน "อุดม​คลาน" เพื่อชีวิต

----
และของกวีสมัครเล่นอย่างข้าพเจ้าเอง

A : "ศักดินาสั่งว่าผิดก็ติดคุก!
ไม่ต้องซุกไม่ต้องหนีเข้าป่าไหน?
อยู่ในคุกเพียงคุมขังให้เป็นไทย?
โง่บรรลัยไปเหม่งหม่างอย่างคอมมูน"?

B : "เจ้าเพียงกล่าวว่าเราเป็นภัยร้าย!
เราก็ควรถูกทำลายให้สาปสูญ?
เจ้าข่มขืนฆ่าแขวนคอถ่วงเสาปูน!
สิทธิราชย์ชาติสมบูรณาญา"

https://www.facebook.com/photo/?fbid=3860544964031178&set=a.152292684856443
.....

·
"ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร"
แต่พอเกิดรัฐประหารแล้วมานั่งแต่งกลอนด่าคนที่ต่อต้านรัฐประหาร 555


Gaza, where bread costs a life. The Israeli military must stop shooting at people trying to get food




 

ที่อังกฤษ ยกป้ายขอยกเลิกสถาบันกษัตริย์ต่อหน้ากษัตริย์และราชินี ไม่เป็นไร ที่เมืองไทย ปราศรัย วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ เจอคุก


Te Neti
12 hours ago
·
ที่อังกฤษ ยกป้ายขอยกเลิกสถาบันกษัตริย์ต่อหน้ากษัตริย์และราชินี ไม่เป็นไร

ที่เมืองไทย ปราศรัย วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ เจอคุกไปยี่สิบกว่าปีแล้ว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=9896792930432698&set=a.696962643749152
.....




รู้มั้ย 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง โฉมหน้าระบบราชการไทย เปลี่ยน

Rachnat Wanitsombati
June 23
·
24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง
เปลี่ยนโฉมหน้าระบบราชการไทย

1.โครงสร้างระบบราชการ
โครงสร้างระบบราชการก่อนปี2475 แบ่งเป็น 3ระดับ ได้แก่ 1.ระดับสูง คือเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง และข้าราชการระดับสูงอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง 2.ระดับกลาง คือข้าราชการที่มีศักดินาเกินกว่า400 และ 3.ข้าราชการระดับล่าง คือข้าราชการที่มีศักดินาต่ำกว่า 400 ทำหน้าที่เสมียน

โครงสร้างระบบราชการหลัง 2475 แบ่งข้าราชการออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ ชั้นจัตวา ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ

2. วิธีการเข้ารับราชการ
วิธีการเข้ารับราชการก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี2475 ใช้วิธีฝากตัว กล่าวคือ ระดับเสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้องถวายสัตย์ ระดับรองลงมาก็ฝากตัวกับเสนาบดี และฝากตัวกับข้าราชการระดับถัดลงมา มีการอ้างว่าที่ต้องใช้ระบบการฝากเนื่องจากขาดคนที่อยากรับราชการ แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีคนที่มีความรู้ และอยากเข้ารับราชการแต่ติดปัญหาเรื่องชาติตระกูล แม้ว่าจะมีการประกาศใช้พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2471 ทำให้เกิดการสอบบรรจุขึ้นครั้งแรกในปี2472 แต่ก็เรียกบรรจุไม่มากนัก เพราะเสนาบดีบางกระทรวงยังคงใช้เกณฑ์เรื่องของชาติกำเนิด ซึ่งเป็นการสอบบรรจุข้าราชการระดับล่างที่เรียกว่า ข้าราชการชั้นราชบุรุษ และต่อจากนั้นก็ไม่มีการสอบบรรจุอีกเลย

วิธีการเข้ารรับราการหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2476 กำหนดให้มีการสอบบรรจุที่ให้ความสำคัญกับคุณวุฒิการศึกษา กล่าวคือยิ่งจบสูงก็ยิ่งมีโอกาสสอบเข้ารับตำแหน่งที่สูงขึ้น อันเป็นรากฐานของการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการในปัจจุบัน สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดทำให้คนเข้าถึงการศึกษาในระดับต่างๆได้อย่างเท่าเทียม

3.เงินเดือนข้าราชการ
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 การให้เงินเดือนข้าราชการมีความเหลื่อมล้ำกันของแต่ละกระทรวง ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญของชนชั้นนำ เช่น กระทรวงการต่างประเทศได้เงินเดือนเฉลี่ยคนละ 330 บาท กระทรวงยุติธรรมเฉลี่ยคนละ 135 บาท กระทรวงมหาดไทยเฉลี่ยคนละ80บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันกว่า200เท่า การได้รับเงินเดือนในตอนนั้นไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นการรับพระราชทาน

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 มีการกำหนดบัญชีอัตราเงินเดือนใช้ด้วยกันทุกกระทรวง เช่น ชั้นเสมียนพนักงานมีอัตราเงินเดือน 17ขั้น ประจำแผนกขึ้นไป 15 ขั้น

4.การลงโทษข้าราชการ
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 การลงโทษขข้าราชการการให้เป็นไปตามการตัดสินใจของเสนาบดีและคณะทำงานของเสนาบดี

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 มีการกำหนดมาตรฐานการลงโทษกลางที่ใช้ทุกกระทรวง เช่น รัฐมนตรีสามารถลงโทษอธิบดีด้วยการตัดเงินเดือน 30% กำหนพระยะเวลา12เดือน หัวหน้ากอง 25% ผู้บังคับบัญชาระดับปัดกระทรวงลงโทษหัวหน้าแผนกโดยตัดเงินเดือน 20% กำหนดเวลา 4 เดือน

เพียงแค่4ประเด็นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะตอบคำถามว่า ทำไมการอภิวัฒน์การปกครอง2475 จึงมีข้าราชการเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

อ่านเพิ่มเติม
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์.การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475
ศราวุฒิ วิสาพรม.ประวัติศาสตร์ส่มัญชนในสังคมไทยสมัยแรกเริ่มรัฐประชาชาติ พ.ศ.2475-2490

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10240419372848814&set=a.2350828937081