วันอาทิตย์, ธันวาคม 21, 2568

เลือกตั้ง 2569 จะอยู่บนความรู้สึกหรือเหตุผล?


ท่านผู้นำฮาเฮ
·
สายวิทย์ดีกว่า ฉลาดกว่าพวกสายสังคม

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1430048495358086&set=a.473422701020675
.....


19 ธันวาคม 2568
มติชนออนไลน์

หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ผมได้วิเคราะห์ฉากทัศน์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ไว้ว่า จะเป็นการแข่งขันที่มีทั้งพรรคที่ได้เปรียบ เสียเปรียบ ในการเลือกตั้งทั่วไป 2569 ที่จะถึงนี้

โดยจะมีพรรค 3 ขั้วหลักที่จะต่อสู้แข่งขันกันในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคที่มีระบบบ้านใหญ่ มีกระแส มีประวัติศาสตร์เป็นหลังพิง ใครชนะเป็นรัฐบาล แพ้ร่วมตั้งรัฐบาล แล้วผลักให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน นี่คือฉากเดิมๆ ที่จะเกิดขึ้น บนพื้นฐานของสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ (ถ้ายังไม่เปลี่ยน) ส่วนพรรคอื่นๆ เป็นปัจจัยเสริมแกร่งของแต่ละขั้วที่ผมจะขอกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เริ่มแรกที่ พรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยทรัพยากรทางการเมืองและโอกาสที่พร้อมกว่าพรรคคู่แข่งขันอื่น ประกอบกับจังหวะทางการเมืองที่พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจยุบสภาฯ ในช่วงจังหวะที่เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การจัดการน้ำท่วม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของสังคมได้ระดับหนึ่ง จากโหมดโกรธ ไม่พอใจ สู่ โหมดการเตรียความพร้อมเพื่อเซจซีโร่การบริหารสู่การส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่

การเดินหมากที่คล่องตัวและแข็งแรงของพรรคสีน้ำเงินก่อนที่ความไม่วางใจจะเกิดขึ้นและลุกลามบานปลายในวงกว้างมากกว่านี้ เชื่อได้ว่าจะผลดีต่อการเลือกตั้งในระบบส.ส.เขต ของพรรคภูมิใจไทยมากกว่าผลเสียที่มีในระบบบัญชีรายชื่อ ที่ยังต้องอาศัยกระแส ภาพลักษณ์ นโยบาย ที่ชัดเจนกว่าภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

กล่าวคือ การตบเท้าย้ายพรรคของส.ส. เข้าสู่พรรคภูมิใจไทย จนหัวกระไดไม่แห้งในแต่ละวัน แม้ดูแล้วจะดีในโอกาสการชนะการเลือกตั้งในระบบเขต แต่ก็มีผลต่อภาพลักษณ์พรรคในคะแนนรวมของพรรคได้เช่นเดียวกัน จากการสลัดภาพพรรคบ้านใหญ่ ไม่ออกจะทำให้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อรวมถึงกรุงเทพมหานครที่โหวตเตอร์มีลักษณะการตัดสินใจที่แตกต่างกว่าเขตเลือกตั้งอื่น จะเข็นคะแนนขึ้นได้ยาก

และเทียบดูจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผมถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเลือกตั้งในไทยจากระบบ 2 พรรคใหญ่ สู่ระบบหลายพรรคแย่งกันเป็นใหญ่ ซึ่งมีกลุ่มพรรคที่มีทั้งขายแนวคิดอุดมการณ์ ผ่านกระแสการเมืองใหม่ ผ่านแนวคิดทางเศรษฐกิจนิยม และการเมืองอำนาจเชิงอุปถัมภ์แบบเก่า ซึ่งภูมิใจไทยจัดเป็นกลุ่มการเมืองที่มีลักษณะแบบหลังและเป็นภาพจำมาตั้งแต่การก่อตั้งพรรคในปี 2551 และทอดยาวชัดเจนยิ่งขึ้นดังที่เห็นในปัจจุบัน

ดังจะเห็นได้จากแคมเปญของพรรคภูมิใจไทยทั้ง 3 ครั้ง ใช้มาแล้วทั้ง “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” แนวคิดมุ่งกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น แต่ไม่เป็นผลเท่าแคมเปญเดียวกัน คือ กัญชาเสรี ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทย อยู่ในกระแสข่าวตลอดการเลือกตั้งครั้งนั้น

จนการเลือกตั้งปี 2566 ใช้แคมเปญที่ต่อยอดจากนโยบายตัวเองในเรื่องนี้ ในนามของ “พูดแล้วทำ” กล่าวคือสื่อสารว่า เป็นพรรคที่รักษาสัญญา หาเสียงไว้อย่างไรก็ผลักดันและทำอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้โดนใจชาวบ้านและสร้างเครือข่ายในต่างจังหวัดได้มากที่อยากเห็นพรรคการเมืองที่รักษาสัญญาและนำเรื่องของท้องถิ่นไปทำ  มากกว่าพรรคการเมืองที่ใช้วาทกรรมและคำพูดแต่ทำไม่ได้เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะใช้เคมเปญคนละครึ่งพลัส ประกอบกับ “พูดแล้วทำ” ออกมาเป็นพูดแล้วทำพลัส ก็ยังไม่ใช่ไม้เด็ดมากนักเมื่อเทียบกับการที่พรรคมุ่งโฟกัสไปที่แคนดิเดตนายกฯ เพื่อหวังเป็นกระแสมากกว่าออกมาเป็นนโยบายอื่นๆ

ขณะที่ พรรคส้ม (ประชาชน) จำใจต้องยอมกลืนเลือดและมีหน้าที่แก้ต่างให้โหวตเตอร์ได้เข้าใจว่า การสนับสนุนนายกฯ อนุทินขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้กับพรรคภูมิใจไทยและปิดโอกาสให้กับประเทศที่เสียหายจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลปีละครั้ง และ2 เดือนครั้ง ของสภาฯ ชุดที่แล้วหรือไม่  ถือเป็นปัญหาที่ตอบให้กับสังคมให้ได้ หากไม่เคลียร์ปัญหานี้ให้ชัดเจนจะกลายเป็นความลังเล ให้กับโหวตเตอร์ในสนามการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งจากนิด้าโพลจะพบว่ามีกลุ่มเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคหรือใครเป็นนายกฯ จำนวนมาก

ขณะที่หากพิจารณาดูในระดับเขตจะพบว่าที่ผ่านมาคะแนนเขตของพรรคส้มนั้นสัมพันธ์อย่างมากกับคะแนนภาพรวมของพรรค กล่าวคือ หากพรรคมีกระแสนนิยมสูง โอกาสในการได้คะแนนจากส.ส. เขต จากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกใคร ก็มีจำนวนมาก หากมีกระแสนิยมต่ำก็จะกลับกัน หรือที่สมัยก่อนเราเรียกส.ส. เขต ประเภทนี้ว่าเป็น ส.ส นกแล คือเป็นส.ส. หน้าใหม่ทางการเมืองที่มีศักยภาพในการล้มช้างได้นั่นเอง

ฉะนั้นแล้วนอกจากจะต้องเคลียรให้ชัดเรื่องคำตอบทางการเมือง และการกรูมมิ่งผู้นำทั้งสามคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ดีมากกว่านี้แล้ว  แคมเปญที่หยิบยกมาหาเสียงควรจะแปลกใหม่ สะดุดตา และชวนสังคมแก้ปัญหา อย่างในปี 2562 พรรคส้ม (อนาคตใหม่) ใช้แคมเปญโดยเล่นกับคำว่า ‘เปลี่ยน’ ไปพร้อมๆ กับ การดีเบตของผู้นำจิตวิญญาณของพรรค ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ ที่เน้นไปที่การหยุดการสืบทอดอำนาจ ทลายทุนผูกขาด

ขณะที่ในปี 2566 เช่นเดียวกัน พรรคส้ม (ก้าวไกล) ใช้การหาเสียงแบบเดียวกัน มุ่งเป้าไปที่ตัวผู้นำระบบเก่า ทั้งสองคน ‘ประยุทธ์- ประวิตร’ เป็นหลักในการหาเสียง สอดคล้องกับแคมเปญกาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม และพาโรดี้แคมเปญของพลังประชารัฐ (พรรคของพล.อ.ประวิตร) จาก ‘มีลุงไม่มีแล้ง ไม่มีน้ำ ไม่มีจน’ เป็น ‘มีลุงไม่มีเรา’ กลบแคมเปญเต็มที่ จนสามารถกวาดที่นั่งในสภาได้เป็นอันดับหนึ่ง และในปีนี้เมื่อลุงไม่มีแล้ว แคมเปญการปลุกประแส ให้คนเบื่อการเมือง มามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของพรรคส้มจะเป็นอย่างไร จะสามารถดึงโหวตเตอร์ที่ยังไม่ตัดสินใจกลับมาได้หรือไม่ ถือเป็นประเด็นสำคัญยิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่น่าติดตาม

ถัดมาที่ พรรคเพื่อไทย ยังคงประสบโจทย์ใหญ่และคำถามในช่วง 2 ปีของการบริหารทีผ่านมา ตั้งการสลับขั้ว การบริหารงานที่ไม่สามาถทำได้อย่างต่อเนื่องด้วยปัจจัยทางการเมือง จนกระทบถึงผลสำเร็จของพรรค ประกอบกับโดนกระแสคลิปอังเคิล ทำให้ความนิยมถดถอยลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับความไว้วางใจต่อพรรคในช่วงศึกความขัดแย้งชายแดนที่จะทอดยาวอยู่ ณ ตอนนี้ ขณะที่มองดูในระบบเขตเอง ตอนนี้ การย้ายพรรคของอดีต สส. บ้านใหญ่ที่เคยสังกัดพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็มีจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ชายแดน จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว ตราด ที่สถานการณ์จะหืดขึ้นคออย่างมาก

ตอนนี้จึงเพื่อไทยต้องใช้ทั้งบุ๋น และบู๊ พร้อมกัน รักษาเลือดเดิม เติมเลือดใหม่ และหยุดเลือดไหลให้ได้  ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่เพิ่งเปิดตั้วไปคือ สามแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย ของผู้นำของพรรคเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา ทั้งภาพลักษณ์ และการเป็นนักบริหารมืออาชีพ การขายจุดแข็งของแคนดิเดต และปล่อยพื้นที่ให้ แคนดิเดตอย่าง ‘เชน-ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ ได้โชว์วิสัยทัศน์และทำความรู้จักในพื้นที่สาธารณะอย่างต่อเนื่องประกอบกับการสื่อสารของยศชนัน ช็อตเดียวแบบตรงไปตรงมา ซึ่งผมมองว่าชัดและไม่อ้อมค้อมในรายการเจาะลึกทั่วไทยที่ว่า ‘ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ผมเป็นนายกรัฐมนตรีครับ’

การเล่นเกมเร็ว ไม่อ้อมค้อมเช่นนี้เป็นผลบวกสำหรับแคนดิเดตของพรรค แต่จะฝ่ากระสุนบ้านใหญ่และปลุกพื้นที่คนเพื่อไทยให้กลับมามีชีวิตชีวาได้หรือไม่คงต้องรอทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทำงานพร้อมและสอดประสานกัน ทีผ่านมาจากการเลือกตั้งทั้งสองครั้งเราเห็นการทำงานของทีมยุทธศาสตร์พรรคในพื้นที่เขตกับทีมนโยบายที่ทำงานไม่เข้าขากันเท่าไหร่นัก จนมองว่าเป็นกลุ่มนักรบห้องแอร์บ้าง หอคอยงาช้างบ้าง เรื่องนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้หลายส.ส. ตัดสินใจย้ายออกอยู่เหมือนกัน

ส่วนแคมเปญเลือกตั้งปี 2562 พูดถึงเศรษฐกิจแย่ คนแก้ต้องเพื่อไทย พูดถึงหยุดวิกฤตเศรษฐกิจ หยุดสร้างหนี้ ขายภาพคุณหญิงหน่อย ประกอบอาจารย์ชัชชาติ ณ ตอนนั้น  ในปี 2566 พูดถึงแคมเปญเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ที่เป็นกระแสดีอย่างมาก แต่กลับมาพลิกความคาดหมายด้วยความไม่ชัดเจน เรื่องการจับมือลุง ทำให้กลายเป็นพรรคอันดับ 2 ผมจึงมองว่า แคมเปญของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ จะขายเรื่องอะไร ความหวัง เศรษฐกิจ เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะถ้ายกมาขาย ก็ต้องมีคำตอบที่จะปิดแผลจากความผิดพลาดในครั้งที่ผ่านมาเช่นกัน

การเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา กระแสและแคมเปญมีส่วนสำคัญในการนำและดึงความรู้สึกของคนให้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง พรรคส้มประสบความสำเร็จมาแล้วในการดึงอารมณ์ของสังคมให้ออกมาใช้สิทธิ เปลี่ยนแปลงประเทศ ขณะที่รายละเอียดทางนโยบายในการเลือกตั้งเป็นปัจจัยรองที่จะมาเกื้อหนุนกระแสให้ยกสูงขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นกัน ปัญหาชายแดน ปัญหาสแกมเมอร์ ปัญหาทุนเทา ภัยพิบัติ จะหยิบยกออกมาเป็นกระแสชวนคนออกมาเปลี่ยนแปลง ได้หรือจะแพ้อำนาจบ้านใหญ่ คงอยู่ทีการตัดสินใจของประชาชนในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.นี้

ที่สำคัญพรรคไหนชนะทางความรู้สึกและประชาชนวางใจได้ พรรคนั้นจัดตั้งรัฐบาล!!

https://www.matichon.co.th/article/news_5513450


ผิดพลาดยันวันสุดท้าย


คุณโทมัส : อ่านเกมโลก
December 17
·
ผมเชื่อว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราทุกคนเห็นภาพเดียวกัน และรู้สึกเหมือนกัน... "ความอาย" ภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานระดับชาติที่ใช้ AI เจนเนอเรตออกมาแบบบิดเบี้ยว นิ้วงอก แขนเกิน ไร้จิตวิญญาณศิลปะ ภาพชุด Gift Set ต้อนรับนักกีฬาต่างชาติที่ดูเหมือนถุงยังชีพแจกผู้ประสบภัยน้ำท่วมมากกว่าของที่ระลึกจากดินแดนแห่งวัฒนธรรม หรือสภาพสนามและที่พักที่ดูเหมือนการเอาสีไปทาทับรอยร้าวของตึกร้าง

คำถามที่ดังก้องในหัวคนไทยคือ "ทำไม?" เราคือประเทศไทยที่มีห้างหรูติดอันดับโลก มีครีเอทีฟมือรางวัลระดับนานาชาติ และมีงบประมาณมหาศาลในการจัดงาน แต่ทำไมผลลัพธ์ที่ออกมาถึงดู "จน" และ "ไร้รสนิยม" ขนาดนี้?

หลายคนด่าคนทำงานหน้างาน ด่ากราฟิกดีไซเนอร์ ด่าคนจัดซื้อ แต่ช้าก่อน... หยุดด่าปลายน้ำ แล้วลองเดินย้อนขึ้นไปดูที่ "ต้นน้ำ" ของเงินก้อนนี้ แล้วคุณจะเข้าใจสัจธรรมที่น่าสะอิดสะเอียน

สมมติว่ารัฐอนุมัติงบ 100 ล้านบาท สำหรับโปรเจกต์หนึ่งในซีเกมส์ ในโลกอุดมคติ เงิน 100 ล้านควรจะลงไปถึงเนื้องานคุณภาพระดับ 100 ล้าน แต่ใน "ระบบอุปถัมภ์แบบไทยๆ" เงินก้อนนี้ต้องเดินทางผ่าน "ท่อ" ที่เต็มไปด้วยรูรั่ว

ทันทีที่งบอนุมัติ มันไม่ได้วิ่งตรงไปหาคนทำงาน แต่มันวิ่งเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า "ค่าบริหารจัดการ" และ "ที่ปรึกษา" เงินก้อนแรกถูกเฉือนออกไปให้คณะกรรมการและผู้มีบารมีที่นั่งหัวโต๊ะ เพียงแค่เซ็นเอกสารไม่กี่แผ่น จาก 100 ล้าน อาจเหลือ 80 ล้าน ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มหาคนรับงาน

ต่อมาคือขั้นตอนการประมูล หรือการจัดซื้อจัดจ้าง บริษัทออแกไนซ์ หรือซัพพลายเออร์ที่มีฝีมือจริงๆ มักจะไม่ได้งาน ถ้าไม่รู้ "ทางหนีทีไล่" งานมักจะตกไปอยู่ในมือของ "ผู้รับเหมาขาประจำ" ที่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องจ่าย "ค่าผ่านทาง" เท่าไหร่ ภาษาวงการเขาเรียกว่า "เงินทอน" หรือ "ค่าตั๋ว" ซึ่งเรตติ้งในตลาดมืดตอนนี้โหดร้ายมาก บางที่หักกัน 30-40% นั่นหมายความว่า จากเงินที่เหลือ 80 ล้าน โดนหักไปอีกเกือบครึ่ง เหลือถึงมือบริษัทผู้รับงานจริงแค่ 40-50 ล้านบาท

แต่หายนะยังไม่จบแค่นั้น บริษัทที่ได้งานไป ส่วนใหญ่มักเป็นแค่ "นายหน้า" ที่ไม่มีปัญญาทำเองทั้งหมด พวกเขาก็จะ "Sub-contract" หรือจ้างช่วงต่อไปยังบริษัทลูก บริษัทหลาน เพื่อกินหัวคิวอีกทอด เงินที่เหลือ 40 ล้าน ถูกส่งต่อให้คนทำงานจริงที่ปลายแถว อาจจะเหลือแค่ 20 ล้านบาท

เมื่อคนทำงานหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นออแกไนซ์ระดับเทพ หรือดีไซเนอร์ระดับโลก ได้รับโจทย์ให้จัดงานสเกล 100 ล้าน... แต่ในมือมีเงินให้ใช้จริงแค่ 20 ล้าน พวกเขาจะทำยังไง?

คำตอบคือ... "ลดสเปก" (Cost Reduction) จ้างศิลปินวาดรูปเหรอ? แพงไป... งั้นใช้ AI เจนเอาก็แล้วกัน ฟรีด้วย สั่งผ้าเช็ดตัวเกรดโรงแรมเหรอ? เกินงบ... งั้นไปเหมาโหลจากตลาดนัดมาสกรีนลายเอาก็พอ จ้างช่างไฟ ช่างเสียง full team เหรอ? ไม่ไหว... งั้นลดจำนวนคน ลดอุปกรณ์ เอาแค่พอให้มีแสงมีเสียง

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมืออาชีพถึงกลายเป็นมือสมัครเล่นเมื่อต้องรับงานภาครัฐ ไม่ใช่เพราะเขาเก่งไม่พอ แต่เพราะเขาถูกมัดมือชกให้ทำ "ต้มยำกุ้ง" หม้อใหญ่ โดยที่มีวัตถุดิบแค่ "วิญญาณกุ้ง" กับ "มะนาวขวด"

บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่ใช่ความไร้ฝีมือของคนไทย แต่มันคือ "อาชญากรรมทางงบประมาณ" ที่ปล้นเกียรติยศของชาติไประหว่างทาง ทุกความทุเรศที่คุณเห็นบนหน้าสื่อ คือหลักฐานของเงินที่หายไป และตราบใดที่เรายังปล่อยให้ระบบ "ท่อรั่ว" นี้ทำงานต่อไป เราก็จะได้เป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ที่คนจัดรวยเงียบๆ... แต่คนทั้งประเทศต้องก้มหน้าด้วยความอับอาย

https://www.facebook.com/photo?fbid=884931744089413&set=a.267363155846278



พรรคส้มต้องอ่าน จากแดงแดกส้ม ในฐานะโหวตเตอร์เล็ก ๆ


Thanakorn Praiwan
17 hours ago
·
ในฐานะแดงแดกส้มที่เชียร์ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน เคยเลือกเพื่อไทยแล้วเปลี่ยนมาเลือกอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของส้มในเวอร์ชั่นพรรคประชาชน ขออนุญาตฝากข้อเสนอในฐานะโหวตเตอร์เล็ก ๆ คนนึง 4 ข้อตามนี้

-----------------------------------------
1.สื่อสารนโยบายให้ชัดกว่านี้

ความสำเร็จของพรรคก้าวไกลคือจุดยืน อุดมการณ์ที่ชัดเจน ทั้งมีเราไม่มีลุง ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบัน รัฐสวัสดิการ และถูกขมวดปมด้วยสโลแกนจำง่าย “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” และ “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” จุดยืนและนโยบายเหล่านี้ถูกสื่อสารไปในทุกเวทีดีเบทจนหัวคะแนนธรรมชาติจำได้

มาถึงยุคพรรคประชาชน สโลแกนพรรคคือ “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก” ขมวดปมด้วย “เราเอาจริง” แต่ถ้าถามประชาชนที่ไม่ได้ตามการเมืองมากนักถึงนโยบายของ ปชน. กึคงจะจำได้แค่ “มีเราไม่มีเทา” ส่วนไส้ในของไทยเท่ากัน ไทยทันโลกคืออะไร ทางพรรคยังไม่ได้ “ขาย” จุดนี้มากพอ

ไทยเท่ากันคืออะไร จุดยืนเรื่องสถาบัน รัฐสวัสดิการ การแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมของพรรคตอนนี้อยู่ตรงไหน ไทยทันโลกหมายถึงนโยบายเศรษฐกิจใหม่ นโยบายความมั่นคงใหม่หรือเปล่า และนโยบายพวกนี้แก่นของมันคืออะไร พรรคควรสื่อสารให้ชัด

อย่าลืมว่าในพรรคประชาชนตอนนี้กลายเป็นเต็นท์ใหญ่ ที่มีทั้งปีกแรงงาน ปีกเทคโบร๋ ปีกสิ่งแวดล้อม ปีกส้มขวา ปีกชาติพันธุ์ ปีก LGBT และปีกผู้พิการ พรรคควรกำหนดทิศทางให้ชัดเจนว่าจุดยืนในตอนนี้ เรื่องไหนที่จะไปสุดกว่าสมัยก้าวไกล เรื่องไหนที่จะขยับเข้ากลางมากขึ้น เหล่าผู้สมัคร สส. ในพรรค โดยเฉพาะส้มซ้ายและส้มขวา จะได้เซ็ทความคาดหวังของตัวเองใหม่และสื่อสารนโยบายของพรรคให้เป็นเอกภาพขึ้น

------------------------------------
2. ทำอะไรแล้วโดนส้มขวาจัดและสลิ่มด่า = ทำต่อไป

เวลาเราเห็นคอมเมนท์แนว ๆ จากสลิ่มที่ชอบด่าพรรคส้มว่าเป็นพรรคประชาชนพม่าบ้าง พรรคด้อยค่าทหารบ้างพรรคล้มล้างการปกครองบ้าง เราชอบใจนะ เพราะอย่างน้อยแสดงว่าพรรคยังมีจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชนสากล

หรือในเคสโชติศักดิ์ก็เหมือนกัน ส้มขวาจัด ซึ่งหมายถึงส้มเหยียดเชื้อชาติ เหยียดผู้อพยพ เหยียดเพศ เหยียดผิว เหยียดศาสนา สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ออกมาด่ากันเพียบ บางคนถึงกับบอกเลยว่าจะเลิกเชียร์ จะไม่กาให้ส้มแล้ว ความเห็นของคนเหล่านี้พรรคควรเก็บไปคิด แล้วพิจารณาเอาเองว่าพรรคอยากได้โหวตเตอร์ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ไหม พรรคอยากให้เต็นท์หลังใหญ่ของพรรคมีกลุ่มคนที่เห็นคนไม่เท่ากันจริงหรือ และถ้ามีผู้แทนฯ ของพรรคคิดแบบส้มขวาจัด (ซึ่งมีจริง ๆ) พรรคควรทำความเข้าใจกับผู้แทนฯ เหล่านี้ใหม่หรือไม่

เราอยากเน้นย้ำว่าชื่อพรรคประชาชน ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไหลตามกระแสสังคมไปทุกเรื่อง พรรคเองมีความรับผิดชอบเชิงศีลธรรมที่ต้องดึงสติคนในสังคมไม่ให้คลั่งชาติจนไร้ความเข้าใจเพื่อนมนุษย์

เราไม่อยากเห็นภาพในอดีตที่ สส. ของพรรคที่พูดสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ แต่พรรคกลับไม่ปกป้อง เช่นกรณีอดีต สส. แก้วตากับกรณีพรรคประชาชนพม่า หรือ สส. เนมที่ออกมาบอกว่าสิ่งแรกที่ตายในสงครามคือความจริง คนเหล่านี้ควรได้รับการยกย่องด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาพูดในสิ่งที่เป็นค่านิยมหลักของพรรค ถ้าพรรคส้มละทิ้งค่านิยมตรงนี้แล้วไปไหลตามกระแสคลั่งชาติ พรรคเองก็จะทิ้งจุดเด่นตรงนี้ไปเลย

------------------------------

3. อย่ามองข้ามคนในพรรค

สิ่งใหม่สิ่งหนึ่งที่พรรคส้มจะทำในรอบนี้คือการเปิดตัวทีม ครม. ของพรรค เข้าใจว่าน่าจะกลางเดือนหน้า ตอนนี้เราได้แต่เดาว่าทีม ครม. เหล่านี้จะมาจากไหน แต่อยากสะกิดเตือนสติกรรมการบริหารพรรคว่า อย่าไปอินกับกระแสกรี๊ดกร๊าดเทคโนแครทมากเกินไป อย่ามุ่งแต่จะดึงคนเก่งจากนอกพรรคมาเป็นรัฐมนตรี จนลืมมองคนในพรรคตัวเองที่มีความสามารถไป

พรรคต้องอย่าลืมว่าหลายนโยบายเรือธงรอบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับทุนเทา หรือปฏิรูประบบราชการ เป็นปัญหาที่หมักหมมในสังคมมานานทั้ง ๆ ที่เรามีคนเก่งเต็มประเทศทั้งในและนอกระบบราชการ

ประเทศไทยไม่เคยขาดคนเก่ง ยุครัฐประหารพวกเทคโนแครทที่เหมือนจะเก่งก็เดินกันให้ควั่บใน ครม. แต่สิ่งที่ประเทศไทยแทบไม่มีคือคนที่กล้าต่างหาก

เราต้องไม่ลืมว่า “คนนอก” ในสังคมหลายคนที่เติบโตจนมีหน้าตาฐานะ นอกจากจะการศึกษาดี ทำงานเก่งแล้ว หลายคนก็ไต่เต้ามาได้จากการเป็น “เด็กดี” ในระบบ ไม่ตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจ ไม่กล้าชนกับระบบที่บิดเบี้ยว ไหลตามน้ำมาเรื่อย ๆ จนมีคอนเนคชั่นกับอีลิท และพาตัวเองไปเป็นหัว ๆ ขององค์กรได้

แน่นอนแหละว่า สส. หลายคนของพรรคส้ม อาจไม่ได้มีใบปริญญาก่ายกอง ไม่ได้เข้าหลักสูตรอบรมจนซีวียาวเต็มหน้ากระดาษ แต่หลาย ๆ คนก็มีประสบการณ์ทั้งจากการลงพื้นที่และการนั่งในกรรมาธิการ และสิ่งที่ สส. หลายคนเหนือกว่าเทคโนแครทคนนอกอย่างเห็นได้ชัดคือความใจสู้ นี่แหละคือดีเอ็นเอของพรรคส้ม

สส. ของพรรคหลายคนโดนฟ้องหมิ่นประมาทเพราะไปงัดกับทุนใหญ่ หลายคนโดนคดีการเมือง บางคนถึงขั้นติดคุกพราะไปต้านเผด็จการ สิ่งเหล่านี้เผลอ ๆ จะมีน้ำหนักมากกว่าใบปริญญาจากสถาบันระดับโลกเสียอีก

พรรคประชาชนต้องไม่ลืมว่าการปราบทุนเทา การปฏิรูประบบราชการ ต้องใช้คนที่ประชาชน “เชื่อใจ” ไม่ใช่ “เชื่อมือ” เพราะภารกิจใหญ่ระดับนี้คนที่จะมาลงมือทำต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่แรงกล้า ต้องไม่ใช่คนที่ประวัติการศึกษาและการทำงานแน่นเปรี๊ยะ แต่พอได้ตำแหน่งมาจริงได้แต่พูดเอาหล่อ หรือไม่กล้ารับผิด จะเอาแต่รับชอบอย่างเดียว

ในฐานะข้าราชการระดับกลาง เราเคยเจอมาหมดแล้วทั้งรัฐมนตรีสไตล์นักการเมืองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เทคโนแครทที่ทำงานดี เทคโนแครทเจ้ายศเจ้าอย่าง นักการเมืองที่ตั้งใจทำงาน เทคโนแครทประสาทแดก รวมถึงเทคโนแครทท่าดีทีเหลว

แต่ไม่เคยมีรัฐมนตรีคนไหนที่มีสามสิ่งนี้พร้อมกัน
1) เข้าใจในงานและภารกิจของกระทรวง
2) ให้เกียรติข้าราชการและผู้ใต้บังคับบัญชา
3) มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และพร้อมตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ

เราเชื่อว่า สส. ในพรรคหลายคนมีคุณสมบัติครบ 3 ข้อนี้ โดยเฉพาะข้อ 3 และพร้อมจะแก้ปัญหาประเทศ คือถ้าพรรคจะเอาคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีจริง ๆ ก็ขอคนที่มีผลงานเคย “สู้” กับระบบ สู้กับความอยุติธรรมมาเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนและข้าราชการถึงจะ “เชื่อใจ”

-------------------------------------

4. อย่าบริหารพรรคการเมืองแบบบริษัทเอกชน

ข้อนี้เราคิดได้จากข่าวที่พี่แมว อดีตรองหัวหน้าพรรคส้มออกมาตัดพ้อที่แกไม่ได้ไปต่อกับพรรค

คือส่วนตัวเข้าใจว่าพอพรรคเริ่มใหญ่ขึ้น เป็นที่นิยมขึ้น ก็ต้องมีคนสนใจอยากสมัครเข้าพรรคเป็นธรรมดา การคัดผู้ลงสมัคร สส. ก็ต้องเข้มข้นตามไปด้วย คนเก่าคนแก่ของพรรคบางคนก็อาจต้องหลุดโผไป ซึ่งก็พอเข้าใจได้

แต่สิ่งที่พรรคไม่ควรทำ คือทำให้คนที่สู้มากับพรรคตั้งแต่ต้นเสียความรู้สึก การอธิบายเหตุผลว่าทำไมบางคนไม่ได้ไปต่อควรทำได้ดีกว่านี้ ควรรักษาน้ำใจกว่านี้

ตอนนี้เหมือนพรรค ปชน. พุ่งเป้าไปที่การได้ สส. เกินครึ่งสภา เหมือนกับบริษัทเอกชนที่เน้นกำไรสูงสุด จนลืมไปว่าบริษัทเอกชนกับพรรคการเมืองไม่เหมือนกัน

บริษัทเอกชน หลายคนก็เข้ามาทำเพราะเงินดี เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทจะเลิกจ้างใคร ก็แค่จ่ายค่าชดเชยให้เหมาะสม ใช้เงินแก้ปัญหาไปจบ ๆ

แต่สำหรับพรรคการเมือง บางคนก็เข้ามาทำเพราะหวังอำนาจ บางคนหวังผลประโยชน์ แต่คนที่เข้ามาทำเพราะอุดมการณ์ เพราะตั้งใจจะมาพัฒนาประเทศจริง ๆ ก็เยอะ คืออย่างน้อยพรรคควรจะปฏิบัติต่อคนที่มีอุดมการณ์แต่ไม่ได้ไปต่อโดยให้เกียรติพวกเขามากกว่านี้ไหม เพราะอย่างน้อย ๆ คนเหล่านี้ก็จะได้เป็นกองเชียร์พรรค เป็นหัวคะแนนธรรมชาติ หรือยังสมัครใจมาช่วยพรรคหาเสียงได้ การเมืองมันต่างจากเอกชนตรงที่ต้องบริหารความรู้สึกคนในองค์กรด้วย จะใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียวไม่ได้

คือเป้าหมายการได้ สส. ให้มากที่สุดก็สำคัญ แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเดินทาง การจะไปเป็นพรรครัฐบาลมันจำเป็นต้องบริหารเชือดคอสไตล์เอกชนขนาดนั้นไหม สส. คนไหนหมดประโยชน์ สส. คนไหนที่ผลักดันเรื่องของตัวเองสำเร็จแล้ว เราต้องถีบหัวส่งพวกเขาเลยเหรอ ทำไมเราไม่สร้างบรรยากาศการทำงานที่อดีตคนของพรรคยังเดินร่วมถนนสายประชาธิปไตยกับสายเลือดใหม่ของพรรคได้ทั้งในและนอกสภาล่ะ

--------------------------------------

ก็ฝากไว้ประมาณนี้ หวังว่าเสียงเล็ก ๆ ของเราจะถูกได้ยินจากพรรคบ้าง ในฐานะประชาชนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ของพรรคส้ม ก็อยากเห็นพรรคเติบโตโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณไป

ป.ล. รูปประกอบนี่มาจากงานเสวนาสุขภาพจิตที่ก้าวไกลจัดที่สวนเบญฯ ตอนปี 65 สำหรับเรางานนี้คืองานที่บ่งบอกตัวตนความเป็นส้มได้ดี เป็นงานที่ทั้งไอซ์และไอติมมาช่วยกันขนเก้าอี้ ช่วยกันขนของหลบฝน เป็นไวบ์พรรคเล็กนักสู้ที่แอบคิดถึง
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=10102551830029331&set=a.666687710691



บีบีซีไทยสนทนากับผู้นำพรรค ปชน. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 1 จากพรรคประชาชน ด้วยเป้าหมายอันทะเยอทะยานในการพาองค์กรเคลื่อนไปให้ถึงทำเนียบรัฐบาล


เปิดใจ "เท้ง ณัฐพงษ์" โจทย์เลือกตั้ง 69 ของพรรคประชาชน หลังถูกเท MOA - BBC News ไทย

Dec 19, 2025

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 1 จากพรรคประชาชน (ปชน.) เล็งเห็นว่า การเลือกตั้ง 2569 คือ “จุดตัดสำคัญ” ที่จะตัดสินชะตาอนาคตของประเทศโดยเสียงประชาชนอย่างแท้จริง ได้รัฐบาลที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน และได้เดินหน้าแก้ไขระบบการเมืองผ่านการออกเสียงประชามติ “คำถามที่ 1” ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

บีบีซีไทยสนทนากับผู้นำพรรค ปชน. ซึ่งต้องทำภารกิจนำพาพรรคสีส้มลงสู้ศึกเลือกตั้ง ด้วยเป้าหมายอันทะเยอทะยานในการพาองค์กรเคลื่อนไปให้ถึงทำเนียบรัฐบาล

TC00:00 ไฮไลท์
TC00:30 วิกฤตประเทศไทย ใครคือต้นตอ?
TC01:02 พรรคประชาชนอยู่ตรงไหนในวิกฤตการเมืองระลอกล่าสุด?
TC02:46 สถานการณ์พรรคส้มพ้นวิกฤตหรือยังหลังถูกพรรคน้ำเงิน “ฉีก MOA”?
TC03:46 คำขอโทษที่ “ผิดจุด”?
TC04:53 MOA เผาตัวเอง?
TC06:21 “เดอะแบก” แก้รัฐธรรมนูญ “หมกมุ่น” อยู่เรื่องเดียว?
TC08:38 โจทย์ใหม่ในเลือกตั้ง 69 เปลี่ยน “เชื่อใจ” เป็น “เชื่อมือ”
TC11:19 ทุนเทา-การเมืองเทา จะหายไปได้อย่างไรถ้าพรรคส้มได้เข้าทำเนียบฯ?
TC13:23 “มีเรา ไม่มีเทา” เงื่อนไขขั้นต่ำใน MOA/MOU ตั้งรัฐบาลเวอร์ชั่นประชาชน
TC15:28 “เจ้าของใบอนุญาตที่ 2” จะยอมให้ตั้งรัฐบาลจริงหรือ?
TC16:39 ดีลอย่างไรกับกระแสชาตินิยม
TC18:11 สารจาก “หัวหน้าเท้ง” ถึงบรรดา “คนอกหัก”
TC19:19 โหวตเพราะ “ความจำเป็น” 
.
Produced/Presented: หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ/ BBC Thai
Filmed: ภานุมาศ สงวนวงศ์/ Thai news Pix
Edited: นภสินธุ์ สามแก้วแจ่ม/ BBC Thai

https://www.youtube.com/watch?v=dgagt1qm3Os



13 วันไม่มีรายได้ ชาวบ้านแห่ออก "ศูนย์พักพิง" แม้ยังไม่มีประกาศให้เข้าพื้นที่ หลังจากที่มีข่าวการยึดคืนพื้นที่ เนิน 677 และช่องอานม้า ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา



13 วันไม่มีรายได้ ชาวบ้านแห่ออก "ศูนย์พักพิง" แม้ยังไม่มีประกาศให้เข้าพื้นที่

20 ธ.ค. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

ชาวบ้านแห่ออกจาก "ศูนย์พักพิง" แม้ยังไม่มีประกาศให้เข้าพื้นที่ หลังอพยพ 13 วันไม่มีรายได้ หวั่นไม่มีเงินจ่ายหนี้สิน พร้อมฝากให้กำลังใจทหารไทยชื่นชมทุกคนเก่งมาก

วันที่ 20 ธ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนทางหลวงหมายเลข 2171 เดชอุดม - น้ำยืน ขาออกมุ่งหน้าตัวอำเภอน้ำยืน ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา พบมีรถกระบะของชาวบ้านอำเภอน้ำยืน ขนสัมภาระเดินทางออกจากศูนย์พักพิง เพื่อกลับยังภูมิลำเนา หลังจากที่มีข่าวการยึดคืนพื้นที่ เนิน 677 และช่องอานม้า ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา

จากการสอบถาม นายเผด็จ ทองพิเศษ อายุ 49 ปี ชาวบ้านขณะเติมน้ำมัน เผยว่าครอบครัวได้เดินทางออกจากบ้านตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. วันแรกที่มีการปะทะกันรอบที่ 2 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 13 วันแล้ว เมื่อได้ยินว่าไทยสามารถยึดช่องอานม้าได้สำเร็จและในพื้นที่ไม่มีเสียงปืนใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะเก็บของเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปกรีดยางสร้างรายได้เพราะ 13 วันที่ผ่านมาครอบครัวไม่มีรายได้ หากไม่กลับไปกรีดยางก็จะไม่มีเงินมาจ่ายหนี้สินต่างๆ พร้อมฝากให้กำลังใจทหารที่อยู่แนวหน้าทุกนาย ชื่นชมว่าทหารไทยเก่งมาก

ทางด้าน นางกชพร ธรรมโม ผู้ใหญ่บ้านบ้านน้ำยืน พร้อมเจ้าหน้าที่ ชรบ. ยังคงตั้งจุดสกัดคัดกรองการเข้าออกและป้องกันประชาชนกลับเข้ามาในพื้นที่เพราะสถานการณ์ยังคงเป็นสีแดง แม้จะไม่มีเสียงปืนในพื้นที่ก็ตามหากจะกลับเข้ามาได้ก็ต้องรอคำสั่งจากทางฝ่ายความมั่นคงก่อน.

https://www.thairath.co.th/news/local/2903024



“โจทย์ของส้มก็คือจะต้องสร้างความมั่นอกมั่นใจ ความไว้วางใจ ที่เคยสูญเสียไป กลับคืนมาให้ได้"


Atukkit Sawangsuk
11 hours ago
·
“โจทย์ของส้มก็คือจะต้องสร้างความมั่นอกมั่นใจ ความไว้วางใจ ที่เคยสูญเสียไป กลับคืนมาให้ได้
ไม่ว่าจะสูญเสียไปจากเรื่องกัมพูชา จากทั้งฝ่ายก้าวหน้าหรือจากคนทั่วไปที่ต้องการสันติภาพที่ปฏิบัติได้
หรือเคยสูญเสียความมั่นใจในการใช้ดุลพินิจในการโหวตอนุทินเป็นนายก
แต่สุดท้าย สิ่งที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ของชัยชนะของพรรคส้มก็คือ คุณชนะเพราะคนรู้สึกว่าคุณแย่น้อยที่สุด ( หัวเราะทั้งคู่)
แต่ควรจะชนะด้วยการเป็นคนที่สามารถ set agenda ที่รวบรวมผู้คน ให้เห็นตรงกันได้ว่า เอาล่ะ เห็นไม่ตรงกันเรื่องนี้เว้ย แต่อันนี้เป็นจุดร่วมที่เรารู้สึกว่ามันต้องผลักดันจริงๆ มันต้องเปลี่ยนจริงๆ
อาจจะเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่องแต่เห็นด้วยกันแน่ๆว่า เราอยู่กันแบบนี้ไม่ได้แล้ว“
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=25464596639862158&set=a.1744875672260921


ประชาธิปไตยสองสี EP. 89 I ชัยธวัช ตุลาธน I ส้มหรือน้ำเงินต้องเรียกความไว้วางใจกลับมา I

matichon tv

Premiered 10 hours ago 

รายการประชาธิปไตยสองสี ตอนที่ 89 อธึกกิต แสวงสุข (ใบตองแห้ง) สัมภาษณ์พิเศษ ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล “รัฐบาลส้มหรือรัฐบาลน้ำเงิน ต้องเรียกความไว้วางใจกลับมา” เผยแพร่ ครั้งแรก เสาร์ 20 ธ.ค. 2568 เวลา 18.00 น.

https://www.youtube.com/watch?v=olx7O4sI-r8


ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ไทยเข้าสู่ยุค“โตต่ำ” เศรษฐกิจอาจโงหัวไม่ขึ้นหากไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง



ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ไทยเข้าสู่ยุค“โตต่ำ” เศรษฐกิจอาจโงหัวไม่ขึ้นหากไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

19 ธ.ค. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

"Summary“
ผู้ว่า ธปท.ฟันธงเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุค “โตต่ำ” เตือนหากไม่เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจฟื้นไม่ขึ้น ฝากแบงก์ยอมเสี่ยงปล่อยสินเชื่อและเร่งลดดอกเบี้ย เตรียมออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนา “Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation” ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ จากการขยายตัวที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งกำลังกลายเป็น New Normal โดยในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.5% ขณะที่ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเคยขยายตัวได้สูงสุดราว 4.4% ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงประมาณ 2.7%

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้เพียงระดับ 2% กว่า ๆ ต่อเนื่อง หากไม่มีความจริงจังในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งจากสังคมสูงวัยที่ทำให้กำลังแรงงานและกำลังซื้อลดลง การขาดการลงทุนใหม่มาเป็นเวลานาน ผลิตภาพต่ำ การพึ่งพาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเดิม รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำสูง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งล้วนส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนชะลอตัว

ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า การใช้นโยบายการเงินหรือการลดดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือยกระดับผลิตภาพของเศรษฐกิจได้ ธปท.ในยุคปัจจุบันจึงต้องปรับบทบาท จากการดูแลเสถียรภาพเพียงด้านเดียว มาเป็นการดูแลเสถียรภาพการเงิน เงินเฟ้อ ซึ่งขณะนี้อยู่ในอัตราที่ต่ำ แต่ยังไม่มีสัญญาณเงินฝืด ระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงินควบคู่กัน พร้อมทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยย้ำว่า ธปท.จะไม่เข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 5 ครั้งในรอบ 1 ปี รวม 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี แม้ผลต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะน้อยมาก ไม่ถึง 0.2% แต่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้เกิดการลงทุนใหม่และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เอสเอ็มอีจำเป็นต้องเข้าถึงสินเชื่อ ขณะที่ปัจจุบันสินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส

“นอกจาก ธปท.แล้ว ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับบทบาทเช่นกัน กำไรสูงไม่ว่าอะไร แต่ควรยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ และควรเร่งส่งผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบายไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้ทั้งผู้กู้รายใหม่และผู้กู้เดิมที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวได้รับประโยชน์ ผมก็อยากกระซิบท่านซีอีโอแบงก์ ให้ส่งผ่านไปยังดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลดลงตามหน่อย เพื่อให้คนกู้ใหม่ได้ประโยชน์ และช่วยให้คนกู้เก่าที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวได้ประโยชน์ด้วย”

สำหรับมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอี ในสัปดาห์หน้า ธปท.จะร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์ ออกมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อลดความเสี่ยงให้ผู้ประกอบการราว 15–30% และตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 100,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพแข่งขันสูง เช่น อาหารและเกษตรแปรรูป ยานยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกระตุ้นการลงทุนใหม่ในระบบเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ธปท.ให้ความสำคัญกับการลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท โดยเฉพาะจากธุรกรรมซื้อขายทองคำ ซึ่งมีผลต่อค่าเงินบาทในบางช่วงเวลา โดยที่ผ่านมา ธปท.เข้าไปดูแลเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง พร้อมสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการตรวจสอบธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับทองคำ และอยู่ระหว่างหารือกับผู้ค้าทองคำรายใหญ่เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล

นอกจากนี้ ธปท.ได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลธุรกรรมทองคำโดยเฉพาะ เพื่อปิดช่องว่างในการกำกับดูแล รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อติดตามที่มาของคริปโทเคอร์เรนซีที่เชื่อมโยงกับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน และช่วยรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระยะต่อไป

https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2902823


ชายเเดนไม่เงียบ : เกลียดกันในเน็ต แต่รักกันตอนเจอ บทพิสูจน์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่คุณไม่รู้ Hate Speech ที่เราพิมพ์กันสนุกปาก... แท้จริงแล้วมันสร้างบาดแผลให้ใครบ้าง?


ชายเเดนไม่เงียบ : เกลียดกันในเน็ต แต่รักกันตอนเจอ บทพิสูจน์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่คุณไม่รู้

CitizenThaiPBS

December 17, 2025

"ความขัดแย้งในโลกออนไลน์... อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด" เราอาจเคยเห็นคอมเมนต์ด่าทอ หรือการถกเถียงเรื่อง "ใครเป็นเจ้าของวัฒนธรรม" ระหว่างไทยและกัมพูชาจนชินตา แต่เมื่อเราลองพาคนจริงๆ มาเจอกัน ความรู้สึกเกลียดชังเหล่านั้นจะยังอยู่ไหม? พาไปดูโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการที่พาเยาวชนจากทั้งสองฝั่งมาใช้ชีวิตและพูดคุยกัน จนค้นพบว่าภายใต้ความขัดแย้ง "เขาก็คือมนุษย์ที่มีหัวใจเหมือนกับเรา" . มาร่วมฟังบทสรุปที่เปลี่ยนจากความอึดอัด กลายเป็นมิตรภาพที่สวยงามได้ในคลิปนี้

https://www.youtube.com/watch?v=rDfi9UDv95I

Localist
Yesterday
·
ชายเเดนไม่เงียบ : เกลียดกันในเน็ต แต่รักกันตอนเจอ? บทพิสูจน์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่คุณอาจไม่เคยรู้
Hate Speech ที่เราพิมพ์กันสนุกปาก... แท้จริงแล้วมันสร้างบาดแผลให้ใครบ้าง?
#คุยข้ามเส้น คลิปนี้จะพาไปเปิดมุมมองใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา ผ่านงานวิจัยที่ไม่ได้อยู่แค่ในกระดาษของ "พาสิรี ธนสิน" แต่คือการพาคนมาเจอกันจริงๆ เพื่อพิสูจน์ว่า "เราต่างกันจริงหรือ?" หรือแท้จริงแล้วเรามีวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ที่เหมือนกันมากกว่าที่คิด . ดูจบแล้วคุณอาจมองเพื่อนบ้านของเราเปลี่ยนไป...
https://youtu.be/rDfi9UDv95I
#คุยข้ามเส้น สัมภาษณ์โดย วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
อ่านบทความฉบับเต็ม
https://www.thaipbs.or.th/locals/contents/rhkp04sz636mvs2qyd1itday-ชายเเดนไม่เงียบ-พาสิรี-ธนสินนักวิจัยที่ทำให้คนไทย-กัมพูชาเป็นเพื่อนกัน



#เรื่องเล่าเช้านี้ นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงเมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ว่าสหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อดึงไทยและกัมพูชากลับสู้โต๊ะเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น





 

การเมืองเรื่องบ้านใหญ่ ขอให้มันจบสิ้นกันไปเสียทีได้ไหมครับ ประชาชน !


https://www.facebook.com/reel/734891688981422


โคว้ทดี แต่ถูกคนบิด เพื่อโน้มน้าวให้สาวกไม่เลือกพรรคส้ม อ้างว่า เพื่อปกป้องชาติ ปกป้องสถาบัน


Te Neti
10 hours ago
·
ไปเสิร์ชหาว่าโคว้ทนี้มีจริงมั้ย ที่ เพจ อัจฉราวดี วงศ์สกล ทำภาพนี้เพื่อเอามาใช้เพื่อโน้มน้าวให้สาวกไม่เลือกพรรคส้ม โดยมีนัยยะอ้างว่า เพื่อปกป้องชาติ ปกป้องสถาบัน

“The world will not be destroyed by those who do evil, but by those who watch them without doing anything.” ปรากฎว่า ทั้ง Gemini และ ChatGPT บอกว่าจากการตรวจสอบหาให้ พบว่า “มีส่วนจริง แต่มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำ (Paraphrased)”

แต่ พอให้บริบทว่า ใครเอาโคว้ทนี้มาอ้าง อ้างในสถานะการณ์ไหน

ChatGPT บอกว่า
1) โคว้ทนี้ “ด่า” คนประเภทไหนกันแน่ แก่นของโคว้ท (ไม่ว่าจะเป็นของไอน์สไตน์ตรง ๆ หรือไม่) คือ สังคมพัง ไม่ใช่เพราะคนทำชั่วแต่เพราะคนเห็นความอยุติธรรม แล้วเลือกจะเงียบ

คำถามคือ: ใครคือ “คนดูเฉย ๆ” ในบริบทไทย? คนที่เห็นคนโดนคดี 112 เป็นสิบ ๆ ปี, เห็นเด็ก นักศึกษา ศิลปิน ถูกลากเข้าคุก, เห็นการใช้กฎหมายเพื่อ “ปิดปาก” มากกว่าปกป้องศักดิ์ศรี แล้วพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับเรา” “อย่ายุ่งเลย” “กฎหมายมีไว้ก็ต้องใช้”

ถ้าวัดตามนิยามของโคว้ทนี้ตรง ๆ กลุ่มที่เข้าข่าย “watch them without doing anything” มากที่สุด คือใครกันแน่

ความย้อนแย้งขั้นรุนแรง ฝ่ายนิยมกษัตริย์เอาโคว้ทนี้มาโจมตีพรรคที่ต้องการ “แก้” 112 แต่ในความเป็นจริง:
พรรคที่เสนอแก้กฎหมาย = พยายาม “ทำอะไรบางอย่าง”
ส่วนคนที่บอกว่า “อย่าแตะ”, “อย่าพูด”, “เงียบไว้” = คนที่เห็นความชั่วร้าย แต่ไม่ทำอะไร

ตรงกับโคว้ทเป๊ะ การเอาโคว้ทนี้มาใช้ คือการประณามตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ส่วน Gemini บอกว่า นี่คือการวิเคราะห์ว่าทำไมโควตของไอน์สไตน์ ถึงอาจจะ "เข้าทาง" ฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปกฎหมายมากกว่า หากมองผ่านแว่นตาของสังคมเสรีประชาธิปไตย

นิยามของ "ความชั่วร้าย" ในบริบทสากล
ในระดับสากล (เช่น UN หรือองค์กรสิทธิมนุษยชน) สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของมนุษยชาติมักจะเป็น การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การใช้กฎหมายอาญามาลงโทษผู้เห็นต่างทางการเมือง การขาดความโปร่งใสและการตรวจสอบ (Accountability) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ความไม่เท่าเทียมทางกฎหมาย การที่คนกลุ่มหนึ่งมีสถานะเหนือกว่ากระบวนการยุติธรรมปกติ

หากนิยามสิ่งเหล่านี้คือความเปราะบางของสังคม "ผู้ที่นิ่งเฉย" ในมุมมองนี้ก็คือ คนที่เห็นการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมแต่ไม่กล้าลุกขึ้นมาพูดนั่นเองครับ

สรุปด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันนี้ ผมว่าไม่เกินอาทิตย์หน้า AI จะพูดจามีตรรกะและเหตุผล มากกว่าสลิ่มในประเด็นนี้ครับ
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=25246047935080615&set=a.696962643749152

.....


Wara Chanmanee
December 17
·
พูดเรื่องการเมืองสร้างสรรค์มาแล้ว ขอพูดเรื่องการเมืองล้าหลังบ้าง

ไม่ใช่ที่ไหน ที่นครศรีธรรมราช บ้านเกิดผม ซึ่งถูกขนานนามว่า “เมืองหลวงสลิ่ม” นั่นแหละ

เหตุที่ขึ้นชื่อว่าเมืองหลวงสลิ่ม เพราะจังหวัดนี้ถูกผูกขาดครอบงำด้วยอำนาจรัฐราชการมาอย่างยาวนาน คนนครเชื่อเรื่องชาตินิยมจนฝังหัวในระดับโครโมโซม คนส่วนใหญ่ไม่ตั้งคำถาม และมักจะเชื่อทันทีเมื่อถูกเป่าหู แม้เขาจะเอาเปรียบ และใช้เป็นเครื่องมือก็เชื่อ

จึงไม่แปลกเลย ที่เมื่อมีคนเอาแบนเนอร์นี้ไปโพสต์ในเพจ “ประเทศคอน” พร้อมใส่แคปชั่นว่า "คนคอน เลือกหม้าย" คนจำนวนมากก็เชื่อ

ในขณะที่โลกรุดหน้า คนมีการศึกษาพูดถึงเรื่องบล็อคเชน ภูมิรัฐศาสตร์ คุณภาพชีวิต ความเป็นธรรม ความยั่งยืน และ AI

แต่คนนครกลุ่มหนึ่ง ยังเชื่อวาทกรรม “ชังชาติ” ยังเหยียดเชื้อชาติ ภายใต้การปลุกปั่นของคนไม่มีการศึกษาอย่างเด็กรับใช้ในบ่อนการพนันของนักการเมืองบ้านใหญ่

คนนครกลุ่มหนึ่งพร้อมที่จะรับเงินจากนักเลงการพนันเพื่อไปกานักการเมืองสีเทาที่บ่อนเซาะทำลายชาติ ภายใต้การอ้างความรักชาติ รักสถาบัน

เรื่องเหล่านี้ไม่ซับซ้อนเกินความเข้าใจของคนนครที่ฉลาดมีปัญญา แต่อาจยากเกินความเข้าใจของชาวบ้านที่ปราศจากการศึกษาเพิ่มเติม และอยู่ในวงจรเลี้ยงดูของเครือข่ายนักการเมืองสีเทา

จุดแข็งของคนนครคือใจมาก มีน้ำใจ แต่จุดอ่อนคือเล่นพรรคเล่นพวก เชื่อคนง่าย ไม่ศึกษาข้อเท็จ-จริง

หากแบนเนอร์โง่ๆ แค่นี้ หลอกคนนครได้ ก็เรียกคนถูกหลอกว่าควายได้เลย ไม่ต้องสงสัย

แต่ผมคิดว่ายังมีคนนครกลุ่มใหญ่ที่ฉลาดพอที่จะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เราก็เห็นกันอยู่โต้งๆ ว่า ใครค้ายา ใครทำบ่อนการพนัน และใครคือบ้านใหญ่ที่ทำลายเมืองนคร

ครั้งนี้หวังว่าคนนครจะเปลี่ยน เลือกผู้แทนด้วยปัญญา อย่าให้คนทั้งประเทศเขาดูถูกว่า เลือกโหมเปรต ๆ เข้าสภา

ไม่เลือกเครือข่ายสแกมเมอร์

ไม่เลือกบ่อนการพนัน 888

ไม่เลือกบ้านใหญ่ ไร้ความสามารถ

ไม่เลือกพวกแจกเงิน โกงคืนทุน

ไม่ขายตัวให้นักการเมืองเปรตๆ

รับเงินหมา กาคนดี


ใกล้เลือกตั้งเราจะเห็นความสกปรก เช่นการสร้าง Fake News อะไรแบบนี้มากขึ้น










มีการเผยแพร่ข้อความทำนองนี้กันมากในกลุ่มไอโอทหาร และฝ่ายอนุรักษ์นิยม ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงนะคะ ดิฉันไม่เคยพูดว่าทหารต้องกางแผนที่เปิดเผยแผนการรบ และที่สำคัญ วันที่ 17 ธ.ค. ดิฉันไม่ได้ออกรายการใดๆ ในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคง ดิฉันทราบข้อมูลอ่อนไหวหลายประการ และเคยพูดในหลายวาระโอกาส หลายสื่อ ว่ารายละเอียดการรบหลายๆ อย่าง ดิฉันพูดไม่ได้ เพราะกระทบความมั่นคง ฝ่ายกัมพูชาจะทราบข้อมูล ประเด็นที่เคยให้สัมภาษณ์แล้วถูกนำไปบิดเบือน คือการวิจารณ์รัฐบาลว่าเวลาบอกให้รบให้จบๆ แผนคืออะไร จะรบไปถึงจุดไหนที่จะจบ ถึงพนมเปญหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดยืนเชิงนโยบายที่รัฐบาลต้องตัดสินใจและบอกต่อประชาชน ไม่ใช่ข้อมูลยุทธการ/ยุทธวิธีการรบของทหาร  
ใกล้เลือกตั้งเราจะเห็นอะไรแบบนี้มากขึ้น ฝากพี่น้องประชาชนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าหลงเชื่อการปลุกปั่นและการดิสเครดิตที่ต่ำทราม มักง่าย ปราศจากหลักฐานแบบนี้เลยค่ะ


https://x.com/Pannika_FWP/status/2002213053295996973