ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน6 hours ago
·
ศาลลงจำคุก “อานนท์” เพิ่มอีก 2 ปี 8 เดือน คดี ม.112 ปราศรัยชุมนุม
#2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว ส่วน “ฮิวโก้” ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา
.
.
วันที่ 25 มิ.ย. 2568 เวลา 10.00 น. ศาลอาญนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และ“ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม
#2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563
.
ศาลพิพากษาว่าทั้งคู่มีความผิดใน 3 ข้อหา ลงโทษจำคุกมาตรา 112 อานนท์ 4 ปี และจิรฐิตา จำคุก 3 ปี ปรับในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และใช้เครื่องขยายเสียง คนละ 15,200 บาท ก่อนลดโทษลงหนึ่งในสาม จำคุกอานนท์ 2 ปี 8 เดือน จำคุกจิรฐิตา 2 ปี ปรับคนละ 10,200 บาท โดยในส่วนของจิรฐิตาให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 กลุ่มราษฎรนัดหมายชุมนุมวิจารณ์การทำงานของสถาบันตุลาการ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี และยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ที่ห้าแยกลาดพร้าว ในเวลา 16.00 น. ก่อนจะประกาศยุติการชุมนุมอย่างสงบในเวลา 00.00 น. โดยมีชื่อการชุมนุมอีกชื่อหนึ่งว่า “ไล่จันทร์โอชาออกไป”
.
ตลอดการชุมนุมมีเวทีปราศรัย ซึ่งมีแกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย รวมทั้งยังมีกิจกรรมจำลองบัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญ กิจกรรมพิธีกรรม แจกกล้วยลิง – ทุบศาลพระภูมิที่ทำจากปูน รวมถึงกิจกรรมเผาภาพ และฉีกตำรารัฐศาสตร์ของหนึ่งในตุลาการ
.
ต่อมา ตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้ออกหมายเรียกแกนนำและผู้ปราศรัยในกิจกรรมดังกล่าวไปแจ้งข้อกล่าวหา โดยกรณีของอานนท์ นำภา ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 ส่วน“ฮิวโก้” จิรฐิตา ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2564
.
ทั้งสองถูกกล่าวหาใน 9 ข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116, มาตรา 215, มาตรา 216, ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10, กีดขวางทางสาธารณะ ตามมาตรา 385, พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 108 และ 114, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
.
ในชั้นศาล จำเลยทั้งสองต่อสู้คดี ยืนยันว่าการชุมนุมนั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่ชุมนุมไม่แออัด และไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 จําเลยยังใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตและเหตุการณ์ที่ปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏตามข่าวและตามประวัติศาสตร์ไทยล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
.

ความโกลาหลเกิดขึ้นในห้อง 714 เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลสั่งเก็บโทรศัพท์ และให้ประชาชนออกจากห้องพิจารณาคดี
.
วันนี้ (25 มิ.ย.68) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 714 ฮิวโก้พร้อมทนายความ ได้เดินทางมาถึงห้องพิจารณา ในวันนี้เธอเดินทางมาจากที่พักในย่านรามคำแหง ส่วนทางด้านอานนท์ยังไม่ถูกเบิกตัวมายังห้องพิจารณา
.
ในช่วงเช้านั้น ยังมีการจัดกิจกรรม “Solidarity for Arnon: We Are All Arnon – Raise Your Sign, Stand for Justice” โดยนักกิจกรรมและ Amnesty International บริเวณสะพานลอยและป้ายรถเมล์หน้าศาลอาญา
.
ส่วนภายในห้องพิจารณา คับคั่งไปด้วยประชาชนที่มาร่วมรอฟังคำพิพากษา พร้อมทั้งบรรดาญาติและเพื่อนสนิทของจำเลยทั้งสอง โดยฝั่งของ ‘อานนท์’ นั้นมีภรรยาและลูกชายติดตามมาให้กำลังใจในวันนี้ด้วย ส่วน ‘ฮิวโก้’ ระบุว่าตนเองมีกำลังใจดี เพราะมีเพื่อน ๆ ที่สนิทสนมมาร่วมให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม รวมถึงเพื่อนร่วมงานจากพรรคประชาชน เช่น ชัยธวัช ตุลาธน และ รังสิมันต์ โรม
.
นอกเหนือจากประชาชนโดยทั่วไปแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ได้แก่ ilaw, CrCF และ Amnesty International รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสถานทูตฯ มาเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาในวันนี้ด้วย
.
บรรยากาศก่อนศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ของศาลแจ้งว่าจะเก็บเครื่องมือสื่อสารของทุกคนภายในห้องพิจารณาแล้วนำไปบรรจุไว้ในกล่องแยกต่างหาก โดยระบุว่าไม่อนุญาตให้ผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีใช้เครื่องมือสื่อสารซึ่งเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับศาลอาญา นำไปสู่การถกเถียงกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนบางส่วนว่าการเก็บโทรศัพท์นั้นเป็นการบังคับที่เกินกว่าเหตุ ประชาชนสามารถปิดเสียงโทรศัพท์แล้วเก็บไว้กับตัวก็
.
.

ศาลสั่งย้ายห้องพิจารณาจากห้อง 714 ไปยังห้องเวรชี้ 1 แทน โดยอ้างเรื่องมาตรการความปลอดภัย
.
เวลา 09.35 น. ภายหลังจากนั่งรอการอ่านคำพิพากษาไประยะหนึ่ง ก็ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าศาลประสงค์จะให้จิรฐิตา และทนายของจำเลย ลงไปยังห้องเวรชี้ 1 เพื่อรับฟังคำพิพากษาแทนห้องพิจารณาเดิม โดยมีทนายความของอานนท์อยู่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล แต่ฝ่ายทนายจำเลยยืนยันว่าในนัดหมาย นัดไว้ที่ห้องพิจารณาที่ 714 ไม่ใช่ห้องเวรชี้ การอ่านคำพิพากษาต้องอ่านโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชนได้
.
ในตอนแรก เจ้าหน้าที่กล่าวกับทนายว่าผู้พิพากษายืนยันว่า จะอ่านคำพิพากษาที่ห้องเวรชี้ 1 ซึ่งห้องดังกล่าวนี้ประชาชนจะไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังคำพิพากษาได้ แต่จะอนุญาตเฉพาะทนายจำเลยและญาติบางส่วนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ โดยระบุสาเหตุทำนองเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย ไม่เป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยฯ
.
อย่างไรก็ดีทนายจำเลยได้แจ้งว่า อานนท์ต้องขึ้นเบิกความในอีกคดีหนึ่งที่มีนัดสืบพยานในห้องพิจารณาคดีชั้น 8 อยู่แล้ว เหตุใดจะต้องให้ตัวจำเลยกับทนายความเดินขึ้นลงหลายรอบ
.
ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ศาลอาญาแจ้งกับฝ่ายจำเลยว่า หากจิรฐิตาไม่ลงไปยังห้องเวรชี้ 1 อาจส่งผลกระทบกับเรื่องการพิจารณาให้ประกันตัวได้ แต่ทางจำเลยก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่มีการลงไปด้านล่างแต่อย่างใด โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยต่อหน้าประชาชน
.
ภายหลังศาลจึงยอมให้มีการอ่านคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดี 714 ดังเดิม โดยมีเงื่อนไขว่าจะอนุญาตให้มีผู้เข้าฟังการพิจารณาจำนวน 6 คนเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นญาติหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับจำเลย คนอื่น ๆ ที่เหลือห้ามเข้าห้องพิจารณา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนบางส่วนต้องเดินทางออกจากห้องพิจารณาไป แม้จะยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยืนกรานจะร่วมฟังคำพิพากษาด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ของสถานทูตที่มาร่วมสังเกตการณ์คดี
.
ต่อมาเวลา 11.21 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษา
.
.

ศาลสั่งจำคุก “อานนท์”2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา จำคุก “ฮิวโก้” 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี
.
คำพิพากษาสามารถสรุปสาระสำคัญออกมาได้ดังนี้
.
ประเด็นพิจารณาที่ 1: จำเลยที่ 1 (อานนท์) และ 5 (จิรฐิตา) มีความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมโดยไม่มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้าหรือไม่
.
ในประเด็นเรื่องการจัดการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 10 ระบุเอาไว้ว่า “ผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะ ให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง”
.
อย่างไรก็ดีใน มาตรา 3 (6) ก็ได้มีการระบุไว้ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ใช้บังคับในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยขณะที่เกิดเหตุการชุมนุมดังกล่าวนั้น มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ดังนั้น พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จึงจะไม่ถูกนำมาบังคับใช้กับกรณีนี้
.
ประเด็นพิจารณาที่ 2: การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หรือไม่
กรณีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แม้จำเลยจะมีการกล่าวอ้างว่าได้ทำการชุมนุมในที่โล่งแจ้ง มีการกล่าวอ้างในเรื่องของ สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมตามกฎหมาย แต่ถ้าหากการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเป็นไปโดยขัดหรือละเมิดต่อกฎหมายอื่น ๆ ย่อมจะกระทำไม่ได้
ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าจากการชุมนุมที่จัดขึ้นบริเวณห้าแยกลาดพร้าวนั้นมีประชาชนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความแออัด อีกทั้งการชุมนุมในวันนั้นยังไม่มีการตรวจคัดกรอง หรือมีมาตรการป้องกันโรคติดต่อโควิด-19 ในขณะเกิดเหตุ
ดังนั้นเมื่อจำเลยได้เข้าร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 จำเลยจึงมีความผิดตามข้อกำหนดที่ออกตามความใน มาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งระบุ “ห้ามมิให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัด หรือ กระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย”
กรณีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ศาลเห็นว่าในประกาศฉบับที่ 13 ซึ่งออกตามความใน มาตรา 35 พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ได้กำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนให้รับโทษตาม มาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ประกาศนั้นก็ได้สิ้นสุดอายุการบังคับใช้ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุในคดีนี้แล้ว ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
.
ประเด็นพิจารณาที่ 3: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะจนเป็นอุปสรรคต่อความสะดวกในการจราจรหรือไม่
ประเด็นนี้ศาลเห็นว่าในทางนำสืบพยานของโจทก์ ได้ความเพียงว่าจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุม กรณีความของตัวการร่วมต้องมีการกระทำร่วมด้วย แต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกีดขวางการจราจรอย่างใด จึงไม่นับว่าเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรฯ และกีดขวางทางสาธารณะ
.
ประเด็นพิจารณาที่ 4: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ตามมาตรา 215 และ 216 หรือไม่
ประเด็นนี้ศาลเห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกันเป็นที่ยุติว่าไม่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมมีการพกพาอาวุธใด ๆ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกันมั่วสุมอันมีเจตนาพิเศษเพื่อก่อความไม่สงบ แม้เจ้าหน้าที่จะได้สั่งให้เลิกการชุมนุมแล้วก็ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 216 และการชุมนุมต่อไปก็ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 215
.
ประเด็นพิจารณาที่ 5: จำเลยที่ 1 และ 5 มีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ (มาตรา 112) และ ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116) หรือไม่
.
เมื่อพิจารณาจากคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ว่าเอาทรัพย์สินส่วนรวมมาเป็นส่วนตัว ถึงจะมีการโอนย้ายทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ใช่สิทธิ์ของจำเลยที่จะพูดให้ร้าย และคำปราศรัยจำเลยที่ 5 ที่เป็นการหมิ่นพระเกียรติ แม้คำปราศรัยจะไม่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง แต่เข้าใจได้ว่ากษัตริย์อยู่เบื้องหลังความรุนแรงในการสลายการชุมนุม
.
ศาลเห็นว่า คำปราศรัยของจำเลยทั้งสองถือเป็นการกล่าวให้ร้าย ใส่ความองค์พระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ เป็นคำกล่าวที่ก้าวล่วง หมิ่นประมาท และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
.
แม้จำเลยจะกล่าวอ้างสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่สิทธิเสรีภาพดังกล่าวจำต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย มิใช่สิทธิเสรีภาพโดยสมบูรณ์ หากการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นไปกระทบกับความมั่นคงของรัฐ สิทธิเสรีภาพนั้นย่อมสามารถถูกจำกัดได้ จึงเห็นว่าจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
ส่วนความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม มาตรา 116 นั้น ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาสร้างความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ให้ประชาชนก่อความไม่สงบเรียบร้อยอันละเมิดต่อกฎหมาย และไม่ปรากฏเหตุการณ์ความรุนแรง ความเสียหายเดือดร้อน จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
.
ประเด็นพิจารณาที่ 6: จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่
ประเด็นนี้พยานโจทก์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตจตุจักรในขณะเกิดเหตุ เบิกความเอาไว้ว่าได้มีการตรวจบัญชีสารบัญแล้ว ไม่พบว่าจำเลยมีการขอใช้เครื่องขยายเสียงในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงได้กล่าวปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงโดยไม่มีการยื่นขออนุญาต อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ
.
เห็นว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน สั่งลงโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ โดยในข้อหามาตรา 112 ลงโทษจำคุกอานนท์ 4 ปี ส่วนจิรฐิตา ลงโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับคนละ 15,000 บาท และ ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ลงโทษปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท
จำเลยทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษ 1 ใน 3 ในข้อหามาตรา 112 คงจำคุกอานนท์ 2 ปี 8 เดือน ส่วนจิรฐิตาลงโทษจำคุก 2 ปี ในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับคนละ 10,000 บาท และ ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ลงโทษปรับเป็นพินัยคนละ 200 บาท
เห็นว่า จิรฐิตากระทำผิดครั้งแรก และหลังถูกดำเนินคดีก็ไม่ได้กระทำผิดซ้ำ สมควรให้โอกาสกลับตนเป็นคนดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี โดยให้คุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี ทำบริการสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 36 ชั่วโมง
.
หลังศาลอ่านคำพิพากษาและรายงานกระบวนเสร็จสิ้น จิรฐิตาได้สวมกอดกับญาติและเพื่อนที่มาให้กำลังใจ และรอเอกสารเพื่อดำเนินการจ่ายค่าปรับ ด้านอานนท์ถูกนำตัวไปเข้าเบิกความได้ในคดีชุมนุม
#ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ปี 2563 ที่ห้องพิจารณา 801 ซึ่งคดียังอยู่ระหว่างสืบพยาน
จนถึงปัจจุบัน ในคดีที่มีคำพิพากษาของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา เขาถูกลงโทษจำคุกรวมแล้วทั้งสิ้น 24 ปี 33 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 26 ปี 9 เดือนเศษ แยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 9 คดี, คดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 จำนวน 1 คดี, คดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 คดี และคดีละเมิดอำนาจศาล 1 คดี โดยทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา