วันอังคาร, พฤศจิกายน 04, 2568

‘ธรรมนัส’ พูดคำโตมโหฬาร ว่า “ตน ณ เวลานี้ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่” มีนกกาอาศัยจำนวนมาก มิน่า ‘ไอ๊ซ์’ ถึงว่าขนาดนายกฯ ‘อนุทิน’ ยังไม่กล้าแตะ

โอ้โฮ ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม พูดคำโตมโหฬารอย่างนี้ ทั่น อนุทินไม่ขายหน้าประชากรหรือไร “ตน ณ เวลานี้ก็เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่” มีนกกาอาศัยจำนวนมาก มิน่า ไอ๊ซ์ ถึงว่าขนาดนายกฯ ยังไม่กล้าแตะ

ธรรมนัส พรหมเผ่า พูดถึงพรรคการเมืองตั้งใหม่ที่เขาเป็นผู้นำจิตวิญญาน กำลังเป็นพรรคที่มีสมาชิกอันดับ ๑ ถึง ๑๗๑,๑๔๘ คน ทิ้งห่างพรรคประชาชนกว่า ๖ หมื่น เงินบริจาคก็มากกว่าถึงเท่าตัว แต่มาจากพวกเจ้าสัว เพียง ๑๓ คน ต่างกับพรรคประชาชน

ซึ่ง ปชน.มีผู้บริจาคประเภทรากหญ้า ๓๘๖ คน จำนวนน้อยกว่าผู้บริจาคของพรรคภูมิใจไทยครึ่งต่อครึ่ง เฉลี่ยวงเงินบริจาคต่อคน ก็น้อยกว่าเยอะเช่นกัน (หมื่นหกกับสองหมื่นหก) ตีความได้ว่าพรรคภูมิใจไทยกับพรรคกล้าธรรมเป็นพรรคเจ้าสัว

ทั้งนี้นั้นดูจากการมีตัวแทนพรรคการเมืองของแต่ละพรรคใครมากกว่ากัน เรียงลำดับที่หนึ่ง ภูมิใจไทย ๗๒ ราย ที่สอง กล้าธรรม ๗๐ ราย ที่สาม ประชาชน ๖๓ ราย โดยมีข้อสังเกตุอีกว่า เจ้าสัวตัวใหญ่สุดเป็นพรรคพลังประชารัฐ

ที่ได้รับบริจาคมากสุด ๒๐ ล้านบาท จากคนเพียง ๔ คน เท่ากับวนๆ กันอยู่ในหนองเนี่ยแหละ ในเมื่อกล้าธรรมคือพลังประชารัฐแปลงร่าง จะนับพรรค ทักษิณเป็นเจ้าสัวด้วยก็ได้ เพราะเพื่อไทยได้รับบริจาคเกือบ ๑๓ ล้านครึ่ง แต่มาจากคนให้แค่ ๘ คน

ที่ เสี่ยแป้งบอกว่ากล้าธรรมของจริง ตรวจสอบได้ แล้วไปแขวะ พรรคการเมืองบางพรรคว่าเป็นของปลอม เอาอะไรมาพูด ยิ่งอ้างอิง ไผ่ ลิกส์ เลขาฯ กล้าธรรม ยิ่งเข้ารก ควรเงี่ยฟังสิ่งที่ รักชนก ศรีนอก พูดบ่อยในกระบวนการทำงานตรวจสอบ

“ในฐานะ สส.ฝ่ายค้าน มีหน้าที่ใช้ทุกเครื่องมือที่มีในการตรวจสอบให้ถึงราก รู้ดีๆ อะไรก็ต้องเอามาบอกประชาชนให้หูตาสว่าง” ไอ๊ซ์ว่า “นั่นคือภาระกิจสูงสุดของคนเป็นผู้แทน” ฉะนั้น “ใครอยากฟ้องอีกกี่คดีฟ้องเลย

ถ้ามันจะทำให้คนในประเทศหูตาสว่าง” เธออ้างถึงคดีที่ถูก สุชาติ ชมกลิ่น กรรมการบริหาร พปชร.ฟ้องปิดปาก จากการที่เธอเปิดโปงทุจริตสำนักงานประกันสังคม กรณีลงทุนซื้อตึก SKYY9 ราคา ๗ พันล้านบาท ทั้งที่ราคาจริงแค่ ๓ พันล้านกว่าๆ

เรื่องนั้น อนุทิน ชาญวีรกูล เคยตั้งคณะสอบสวนฯ สมัยเป็น รมว.มหาดไทย มอบหมายปลัดกระทรวงฯ กำกับ ได้ผลออกมาว่า การลงทุนของ สปส.ครั้งนั้น “เร่งรีบผิดปกติ และลงทุนสูงเกินกว่ามูลค่าจริง” จริง

(https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/Ya8WZ9v, https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/j6BJLVWTdK8 และ https://ch3plus.com/news/news/category/450846) 

เรื่องที่ไม่ควรลืม อนุสาววีย์ปราบกบฏต่อประชาธิปไตยที่ถูกอุ้ม - ภาพการย้ายอนุสาวรีย์ปราบกบฏจากบริเวณกลางวงเวียนหลักสี่ คืนวันที่ 3 พ.ย. 2559 ไปตั้งที่ใหม่ เพียง2 ปีเท่านั้น จู่ ๆ ได้มีการเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์แห่งนี้ออกไปอย่างปริศนาในคืนวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561 และปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรมของอนุสาวรีย์แห่งนี้

https://www.facebook.com/thamrongsak.petchlertanan/posts/pfbid02uptkBeU7v5WHCbMJzjf5JGkaHpsSUb7CfxxqLBunFQnkZxHRWTam8G35JwfbAi2Gl

Thamrongsak Petchlertanan 
4 hours ago
·
ใครอุ้มไป? อนุสาววีย์ปราบกบฏต่อประชาธิปไตย

Sarunyou Thep added photos to the album: ย้ายอนุสาวรีย์ปราบกบฏ คืนวันที่ 3 พ.ย. 2559 — at วงเวียน หลักสี่.
November 3, 2016 · ·

ภาพการย้ายอนุสาวรีย์ปราบกบฏจากบริเวณกลางวงเวียนหลักสี่ (เพื่อหลีกให้กับแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต) ไปตั้งที่ใหม่บริเวณริมวงเวียนหลักสี่ฝั่งตะวันตก (ใกล้ป้อมตำรวจฝั่งมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร)
22.00 น. เริ่มปิดช่องทางการจราจรถนนรอบวงเวียนหลักสี่ฝั่งทิศเหนือ
22.55 น. รถเครนขนาด 400 ตัน ยกอนุสาวรีย์ไปวางบนรถบรรทุกที่จอดริมถนนวงเวียนฝั่งทิศเหนือ เพื่อรอการเคลื่อนย้าย
23.10 - 01.30 น. เคลื่อนย้ายรถเครนขนาด 400 ตันจากบริเวณวงเวียนฝั่งทิศเหนือไปฝั่งทิศตะวันตก เพื่อใช้ยกอนุสาวรีย์ไปตั้งบนฐานใหม่
01.30 - 01.35 น. รถบรรทุกอนุสาวรีย์เคลื่อนตัวจากถนนรอบวงเวียนฝั่งทิศเหนือไปยังวงเวียนฝั่งทิศตะวันตก
01.35 - 02.45 น. รถเครน 400 ตัน ยกอนุสาวรีย์จากรถบรรทุกไปตั้งบนฐานใหม่
สำหรับการเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์ปราบกบฏไปตั้งบริเวณใหม่ เป็นผลมาจากการก่อสร้างสถานีวัดพระศรีมหาธาตุบริเวณกลางวงเวียนหลักสี่ ดังนั้นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวจึงได้ประสานงานกับกรมศิลปากรเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์เดิมไปยังตำแหน่งใหม่เป็นการถาวรภายในวงเวียนหลักสี่ฝั่งทิศตะวันตก (ฝั่งมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร) พร้อมกับปรับปรุงภูมิทัศน์ของอนุสาวรีย์ปราบกบฏเพื่อเพิ่มความสง่างาม ส่งเสริมคุณค่าและความสำคัญของอนุสาวรีย์มิให้ถูกบดบังจากตัวสถานีรถไฟฟ้า (ดูรายละเอียดเอกสารและแบบที่แนบท้าย)
อย่างไรก็ตามอนุสาวรีย์ปราบกบฏที่ย้ายมาตั้งในบริเวณใหม่เป็นการถาวรนับตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 กลับดำรงอยู่ได้เพียง 2 ปีเท่านั้น เพราะว่าจู่ ๆ ได้มีการเคลื่อนย้ายอนุสาวรีย์แห่งนี้ออกไปอย่างปริศนาในคืนวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561 และปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรมของอนุสาวรีย์แห่งนี้


 

“ดีแต่พูด”


Jittra Cotchadet 
14 hours ago
·
จดหมายเปิดผนึกจากจิตรา ถึงนายอภิสิทธิ์
เมื่อ 19 มิถุนายน 2554
กรุณาอ่านให้จบจะได้รู้ว่า นายอภิสิทธิ์ “ ดีแต่พูด” แบบไหน อย่ากลับมาฟอกตัวเอง!!!
เรียน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ดิฉันขอแนะนำตัวก่อน ดิฉันเป็นคนที่เสียภาษี และไปเลือกตั้งทุกครั้งและร่วมแสดงความเห็นทางการเมืองและรวมกลุ่มกันมาตลอด ช่วงที่ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยหรือนักการเมือง ข้าราชการ นายทุนเข้ามากดขี่ แสวงหาผลประโยชน์จากคนจนๆอย่างพวกเรา ในวันนี้เป็นวันครบรอบ 1ปี เดือน พอดี ดิฉันได้ไปร่วมกิจกรรมรำลึกถึงวีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์รัฐบาลสั่งให้สลายการณ์ชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้หญิงและเด็กด้วย
กลับมาดิฉันได้อ่านจดหมายของคุณ”จากอภิสิทธิ์ฉบับที่ 5 “ผมไม่ได้ดีแต่พูด” มันทำให้ดิฉันจำเป็นต้องตอบจดหมาย เพราะพาดพิงถึงดิฉันโดยตรงว่า”กระบวนการนี้เริ่มจากการให้คนเสื้อแดงไปชูป้ายที่งานวันแรงงานที่องค์กรเอกชนจัดขึ้นเพื่อ ให้ ส.ส.เพื่อไทยเอาไปขยายผลในสภาและการสร้างกระแส ” เพราะคนแรกที่ถือป้ายคือดิฉันร่วมกันกับเพื่อนๆ อดีตคนงานไทรอัมพ์ฯ ที่ถูกนายจ้างเลิกจ้าง และถูกอดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานซึ่งอยู่พรรคเดียวกะคุณขณะนั้น ได้เอาจักรเย็บผ้าที่มีผู้บริจาคมาให้กับคนที่ถูกเลิกจ้างไปถึง 150ตัว
อะไรบ้างที่เป็นแรงบันดาลใจที่ดิฉันต้องมาถือป้ายให้คุณในวันงานเสวนา “100ปีวันสตรีสากล”ที่จัดโดยกลุ่มบูรณาการสตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งดิฉันได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้วผ่านสื่อต่างๆ แต่คุณคงไม่มีเวลาอ่านและทำความเข้าใจและได้วิเคราะห์ว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากตัวของคุณเอง ไม่ได้เกิดจากคนถือป้ายคนแรก คุณมักจะโทษคนอื่นเสมอ
จดหมายฉบับนี้ ที่ดิฉันเขียนถึงคุณโดยตรงเพื่อให้คุณได้เกิดหูตาสว่างบ้างว่า ประชาชนคนทั่วไปเขาคิดเองได้มีสติ มีสมอง ทุกคนที่เขาตั้งคำถาม หรือเตือนสติคุณต้องกลับเอาไปคิด ไปใช่ท่องอยู่ตลอดเวลาว่าคนเหล่านี้ทำอะไรก็เป็นแผนกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม แล้วเมื่อไหร่คุณจะได้รู้ข้อเท็จจริงซะทีว่า ประชาชนคนไทย ยากดีมีจนเขาคิดเองได้แล้ว คุณคงรู้แล้วว่าคนไทยไม่ได้เดินทางด้วยเกวียนและไม่ได้กินหญ้าดิฉันยกป้าย “ดีแต่พูด”ให้คุณเพราะอะไร คุณกรุณาอ่านด้วยความตั้งใจ
วันที่ 6 มีนาคม 2554 ดิฉันถูกเชิญไปเป็นผู้ร่วมเสวนาเวทีเดียวและหัวข้อเดียวกันกะคุณ และเคยชี้แจงผ่าน FBไปแล้วว่าได้กลับมาเขียนเฟชบุ๊คส่วนตัว”วันนี้ฉันเผชิญหน้า ผู้ชายคนหนึ่ง ฉันโกรธ ฉันตะโกนออกไป ฆาตกร ฆาตกร ไม่มีใครได้ยินเสียงฉัน เพราะบนเวทีเขากำลังหน้าบานกันดีใจ ซึ่งคนละอารมย์กับฉันมาก ฉันอยากร้องไห้ เมื่อฉันนึกถึงพี่น้องเสื้อแดงที่ถูกฆ่าตาย "ฉันตะโกนอีกครั้ง "มือเปื้อนเลือด" ฉันหยิบปากกาเมจิก เอากระดาษA4 (คือแถลงการณ์ของงานวันนี้)ใช้ด้านที่ว่างเขียนว่า "มือใคร?" ฉันเอามือฉันทาบลงไปแล้วเขียนตาม ฉันค้นหาเมจิกสีแดงเพื่อทาเป็นสีเลือด ฉันถามคนอื่นไม่มีใครมี ฉันรีบตัดสินใจเขียนว่า "เปลื้อนเลือด"ไปบนฝ่ามือ ฉันเขียนสองแผ่นประกบกันแล้วพับมุมนั้นมุมนี้
ในขณะนั้นมันกำลังให้นโยบายเกี่ยวกับวันสตรีสากล ฉันชูกระดาษขึ้น มันตอบมาทันที ว่าวันนี้วันสตรีไม่เกี่ยวกับการเมืองให้ฟังว่าใครมือเปื้อนเลือดชี้แจงในสภา ฉันชูป้ายเด็ดสำหรับฉัน"เหรอ...." และตามด้วย "ดีแต่พูด" ฉันถูกกีดกันจากตำรวจ เพื่อแย่งแผ่นป้าย ฉันถาม แผ่นป้ายมีปัญหาอะไร เหรอ...,ดีแต่พูด,มือใคร?เปลื้อนเลือด มันมีปัญหาตรงใหน ด่าใคร หยาบคายหรือเปล่า ต
ำรวจบอก ว่ามือใคร?เปลื้อนเลือด ฉันถามว่าแล้วเปื้อนจริงเหรอถึงเดือดร้อน และเพื่อนของฉันก็ชูป้าย "ดีแต่พูด"ขึ้นด้านหน้าฉันขึ้นไปอีกสามแถว จึงกลายเป็นเหตุให้การเตรียมการพูดตั้งแต่11.30น.-13.15น.ต้องยุติลงเลยเที่ยงเล็กน้อย
เราไม่ได้สบตากันเลยระหว่างฉันกับผู้ชายคนนั้น เพราะเขาหลบหน้าฉันและหนีฉันด้วยการรีบไปและให้ตำรวจกักตัวฉันไว้กับเพื่อนๆ เกือบครึ่งชั่วโมง
เราไม่ได้สบตากันเลยระหว่างฉันกับผู้ชายคนนั้น เพราะเขาหลบหน้าฉันและหนีฉันด้วยการรีบไปและให้ตำรวจกักตัวฉันไว้กับเพื่อนๆ เกือบครึ่งชั่วโมง
ต่อไปคือความในใจที่ฉันคิดว่าป้ายนี้เหมาะสำหรับคุณคือ “คนดีแต่พูด” ไม่รู้ว่าคุณยังจะจำในสิ่งที่พูดได้หรือเปล่า
1."เมื่อมีประชาชนเพียง 1คน หรือแสนคน มาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองนั้น ไม่ได้ขัดหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะถ้ามีข้อสงสัยว่าการบริหารประเทศนั้นละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิประชาชน หรือทุจริตคอร์รัปชั่น เรื่องเหล่านี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่รอให้กฎหมายจัดการ แต่จะมีสำนึกความรับผิดชอบทางการเมือง" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 31ส.ค.51 @สภาผู้แทนฯ
2. "..ยุบสภาจะเป็นการรับผิดชอบ ทำเถอะเพื่อบ้านเมืองสงบสร้างบรรทัดฐานที่ดีเถอะครับ.." อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 31ส.ค.51 @สภาผู้แทนฯ
3. "ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสแล้ว เรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 9ตุลา 51 @ที่ทำการพรรค ปชป
4. "เพื่อพิสูจย์ความจริงใจ ท่านต้องสั่งย้ายตำรวจที่ให้ร้ายประชาชนออกไปให้หมดก่อนครับ ถ้าท่านจะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง(กรณี 7ตุลา 51)" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 9ตุลา 51 @ที่ทำการพรรค ปชป
5. "ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชน ถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ ไม่มี" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 9ตุลา 51 @ที่ทำการพรรค ปชป
6. "ต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนครับ" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 9ตุลา 51 @ที่ทำการพรรค ปชป
7. "ประเทศไทยเป็นสังคมเปิด ซึ่งเคารพและเชื่อมั่นในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น.." อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบข้อซักถามนายซาลิล เชตตี้ เลขาธิการองค์กรนิรโทษกรรมสากลเนื่องในโอกาสเข้าพบ เมือวันที่ 10พ.ย. 53ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
8. "..สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันซึ่งทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างสามารถเข้าถึงสื่อและหนังสือพิมพ์ รวมถึงทีวีสาธารณะและเคเบิ้ลทีวี เป็นสภาพการณ์ที่แตกต่างจากอดีต.." อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบข้อซักถามนายซาลิล เชตตี้ เลขาธิการองค์กรนิรโทษกรรมสากลเนื่องในโอกาส...เข้าพบ เมือวันที่ 10พ.ย. 53ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
9. "... ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย และไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ..." อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 29ธ.ค.53
10. "ผู้นำทั้งหลายควรจะเคารพต่อความต้องการของประชาชน" อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 29มค 54
11. "การเลือกตั้งจะช่วยคลี่คลายปัญหาและแก้วิกฤติชาติ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 8กค 50
12. "เสริมสร้างสันติภาพของการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน" (จาก นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 30ธันวาคม 2551 @ ที่กระทรวงการต่างประเทศ )
13. “แม้พันธมิตรฯจะทำผิด แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายประชาชน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ขณะนั้น) 9ตุลาคม 2551ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาล(สมชาย)รับผิดชอบต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7ตุลา 51
14. "ร่วมมือกับภาคเอกชนในการดำเนินมาตรการชะลอการเลิกจ้างและป้องกันการขยายตัวของการเลิกจ้างในภาคอุตสาหกรรมและบริการ" (จาก นโยบายความมั่นคงของรัฐ ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 30ธันวาคม 2551 @ ที่กระทรวงการต่างประเทศ )
15. "ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน" (จาก นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 30ธันวาคม 2551 @ ที่กระทรวงการต่างประเทศ )
16. "ให้ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาฟรี 15ปี" (จาก นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 30ธันวาคม 2551 @ ที่กระทรวงการต่างประเทศ )
ก่อนที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณแถลงนโยบายเร่งด่วนว่า อันดับแรก คือการชะลอการเลิกจ้างที่เกิดจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลก็ไม่ได้ชะลอเลย กลับไปส่งเสริมการลงทุนให้นายทุนขยายกิจการแต่เลิกจ้างคนงาน ส่วนโครงการต้นกล้าอาชีพก็ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของคนงานเหมือนกัน คนงานเย็บผ้าที่ถูกเลิกจ้าง คุณต้องต่อยอดความสามารถเดิมที่เขามี กลับไปแนะนะให้เขาชงกาแฟ ไปเป็นหมอนวดแผนไทย ส่วนการขายกาแฟก็ต้องมีงบประมาณเบื้องต้นถึง 5หมื่นบาท นั่นหมายความว่าแก้ปัญหาไม่ได้
อันนี้ตอบคำถามคุณที่ถามพูดเหน็บแนบว่าคนชูป้าย สงสัยลูกหรือญาติไม่ได้เรียนหนังสือ จะเรียนกันไปได้ยังงัยมาดูก็แล้วกัน โครงการเรียนฟรี รัฐบาลบอกว่าเรียนฟรี 15ปี เป็นความภูมิใจของคุณมากๆ ซึ่งจริงๆ แล้วโครงการนี้มันไม่ได้เรียนฟรีจริงๆ เป็นเพียงการแบ่งเบาภาระผู้ปกครองเท่านั้น เปิดเทอมครั้งหนึ่งได้เงิน 900-1,200 ซึ่งมันไม่พอกับค่าชุดนักเรียน ชุดลุกเสือ ชุดกีฬา ด้วยซ้ำ เราไม่สามารถเอาเงินพวกนี้ไปเรียกว่าเรียนฟรีได้ เพราะแม้แต่ชุดนักเรียนดีๆ สักชุดยังซื้อไม่ได้เลย
อีกนโยบายคือ 90วัน แก้ปัญหาชายแดนใต้ เอาเข้าจริง 2 ปี ปัญหาชายแดนใต้ไม่ได้ดีขึ้นเลย ซ้ำยังหนักว่าเดิม
นโยบายค่าจ้าง ครั้งแรกบอกว่าค่าจ้างที่พอกับการครองชีพ คือวันละ 250 สุดท้ายก็เพิ่งปรับเมื่อเดือน พ.ค. ก็ได้แค่ 215บาท ความเห็นของนายกเมื่อพูดออกมาแล้ว ทำไมถึงทำไม่ได้ จะไม่ให้เรียกว่า ดีแต่พูดได้อย่างไร พอมีแนวโน้มจะยุบสภาก็ออกมาบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะปรับค่าจ้างเป็นวันละ 300 พวกเราฟังแล้ว ก็คิดว่า ทั้งๆ ที่คุณเป็นรัฐบาล สัญญาก่อนหน้าคุณยังทำไม่ได้เลย แล้วยังจะมาหาเสียงแบบนี้อีก
อันนี้ขอถามว่าในเวปไซต์พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าคนที่ชูป้ายดีแต่พูดในงานวันสตรีสากล ไม่เข้าใจรากเหง้าของประชาธิปไตย ดิฉันถามว่าถ้าถือป้ายอย่างสงบ ไม่เป็นประชาธิปไตย สะท้อนว่าที่ผ่านมาอย่างยาวนานของพรรคประชาธิปัตย์คงไม่เข้าใจว่าอะไรคือประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จึงเรียนมาให้คุณได้ คิด ไตร่ตรอง ใช้สติในการพูดเขียน ให้มากขึ้นอะไรทำไม่ได้ไม่ต้องพูด อะไรไม่ใช่เรื่องจริงไม่ต้องเขียน และคุณต้องยอมรับที่จะถูกวิพากวิจารณ์ได้คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ คือคนที่ก้าวเข้ามาเป็นนักการเมือง ได้ใช้ภาษีของประชาชน บุคคลเหล่านี้ต้องสามารถวิพากษ์วิจารณ์และถูกตรวจสอบได้ ถ้าคุณไม่ต้องการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องการถูกตรวจสอบ คุณก็ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารเงินภาษีประชาชน และไม่มาเสนอตัวเป็นนักการเมือง หรือผู้บริหารประเทศ
ด้วยความเคารพ
จิตรา คชเดช
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารประเทศของคุณและถือป้ายดีแต่พูดคนแรก
(ขอขอบคุณ 16 ข้อ ดีแต่พูด รวบรวมโดยคุณเทวฤทธิ์ มณีฉาย กลุ่มประกายไฟ) "


https://www.facebook.com/jittra.cotchadet/posts/10162107641172895
.....





ข้อเท็จจริง กปปส กับ อภิสิทธิ์/ประชาธิปัตย์



Khemthong Tonsakulrungruang
13 hours ago
·
กปปส นี่คือปีกอนารยะลงถนนของ ปชป เลย บุคลากรทั้งหมดยกไปทั้งพรรค เป็นสุวรรณปฐพีเดียวกันแน่นอน
...
สมบัติ บุญงามอนงค์
20 hours ago
·
เมื่ออภิสิทธิ์ตอบคำถาม นศ จุฬา เรื่อง กปปส เขาตอบกลับมาว่า "ผมและ กปปส ไม่ได้อยู่ด้วยกัน"

ข้อเท็จจริงคือ กปปส นั้นเป็นร่างที่ 2 ของประชาธิปัตย์ที่ลงมาสู้บนถนน และอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคในเวลานั้น องคาพยพของ กปปส ตั้งแต่แกนนำ ยันมวลชน ล้วนใช้กลไกของพรรคประชาธิปัตย์เกือบทั้งหมด

การปฏิเสธเสียงแข็งแล้วหันหน้าเดินจากไปของอภิสิทธิ์คือสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เป็นอย่างชัดเจนคือ การโกหกและไม่ยอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่ตนเองทำผิดพลาด

และต่อให้อภิสิทธิ์จะใช้กลไกปกป้องตนเองอย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 53 และการเคลื่อนไหวของ กปปส ได้อยู่ในบันทึกความทรงจำของประชาชนอย่างกว้างขวาง

น่าเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์ประเมินตนเองสูงไปในการกลับมาสู่สนามการเมืองอีกครั้ง และคิดว่าความอัปยศที่ตนเองได้ร่วมกระทำไว้จะไม่สามารถเอาผิดแกได้

ก็อย่างที่คุณอภิสิทธิ์พูดไว้ในหลายเวทีตอนที่กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า "ความรับผิดชอบการทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย"

เชื่อว่าตลอดการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า แผลเก่าของแกคงถูกขุดขึ้นมาตลอดการหาเสียง ให้เตรียมรับแรงกระแทกอีกครั้ง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=25667923696126666&set=a.100112943334426
.....


ภาพจาก
Veeraporn Nitiprapha
.....


Pavin Chachavalpongpun 
14 hours ago
·
ดิชั้นเคยเขียนแล้วเมื่อหลายปีก่อน ขอเขียนอีกที ใครที่เคยดูไททานิคคงจำตอนนี้ได้ เมื่อเรือจะล่ม กัปตันรีบให้มีการถ่ายผู้โดยสารลงเรือเล็กเพื่อหนีไปก่อน​ โดยให้ผู้หญิงและเด็กลงไปก่อน ขณะกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น ผู้ชายสูงศักดิ์คนนึงรีบกระโดดลงเรือเพื่อเอาตัวรอด แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คาแรคเตอร์นี้คือ Abhisit Vejjajiva ชัดๆ
...แค่ชื่อตัวเองก็บ่งบอกนิสัยของความอภิสิทธิ์ เอาดีๆ ตัวเองได้อภิสิทธิ์ทุกอย่างในชีวิต ตั้งแต่ชาติตระกูล ความมั่งคั่ง การศึกษา สถานะทางสังคม ก็เพราะไอ้สิ่งเหล่านี้แหละที่มันทำให้อภิสิทธิ์เป็นคนจมไม่ลง เพราะถ้าจะจม ก็จะรีบกระโดดลงเรือก่อนเพื่อเอาตัวรอด ดิชั้นมี gap year ที่ได้ไปเป็นนักข่าวที่ทำเนียบช่วงต้นทศวรรษที่ 1990s ได้พบกับอภิสิทธิ์ที่เพิ่งกลับมาจากการเรียนที่อังกฤษ ส่วนตัวรู้สึกได้ทันทีว่าอภิสิทธิ์คือคนที่ class-conscious ขอพูดแค่นี้แล้วกัน เพราะรู้สึกว่า คนธรรมดาๆ อย่างดิชั้นไม่สามารถเข้าถึงเค้าได้
...เมื่อรัฐบาลสมชายต้องพังลง อภิสิทธิ์ได้รับการหนุนจากวังและกองทัพจัดตั้งรัฐบาลในต้นปี 2009 หนึ่งปีต่อมา คนเสื้อแดงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภาและจัดการเลือกตั้ง จนเกิดการชุมนุมใหญ่ จุดจบคือการสังหารคนเสื้อแดงกลางกรุง ตๅย 99 บาดเจ็บหลายพันคน อภิสิทธิ์ปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ แล้วให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า unfortunately some people died คนแบบนี้คือคนที่หิวอำนาจทางการเมือง และเมื่อได้ตัดสินใจใช้ความรุนแรงแล้ว ก็ไม่ยินยอมที่จะรับผิดชอบผลของมัน ยังคงใช้อภิสิทธิ์ลอยหน้าลอยตาในสังคม เหมือนผู้ชายในไททานิค ความฉิบหายจะมาเยือน ชั้นไม่สนใจว่าใครจะรอด แต่ชั้นต้องรอด
...ดิชั้นคิดว่า แม้อภิสิทธิ์จะรอดในด้านกฎหมาย แต่ตราบาปนี้จะตามหลอกหลอนเค้าไปตลอดชีวิต จริงๆ เมื่ออภิสิทธิ์ได้ลงเรือลำนั้นไปแล้ว ก็ไม่ควรกลับมาสู่หนทางทางการเมืองอีก คนแบบนี้ควรต้องเกษียณอายุทางการเมืองไปแล้ว การกลับมาอีกครั้งจึงมีค่าเท่ากับการมาเพื่อตบหน้าคนตๅย เพราะพวกเค้ายังไม่ได้รับคืนความยุติธรรมค่ะ



เคยได้ยินคนพูดว่า คนหนึ่งเก่ง "งานนอก" อีกคนเก่ง "งานใน" - คอมพลีทเลยเธอ !


https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/24319129067762194




“ความเงียบ คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด ของอาชญากรรมเชิงโครงสร้าง“ เรื่องเล่าจากประสบการณ์ การเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์



Sara Soo
Yesterday
·
เราคิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีมั้ย แต่อ่านเจอมาว่า “ความเงียบ คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด ของอาชญากรรมเชิงโครงสร้าง“ เราเลยจะขอเล่าประสบการณ์ การเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ให้ฟังกัน คือว่าเงินเรา 1.35 ล้านบาท ถูกดูดไหลผ่านบัญชีม้า เข้าบริษัทใหญ่ระดับประเทศ... แต่กฎหมายบอกว่า 'ไม่ต้องคืน’ จ้ะ
เราขอให้เรื่องของเราเป็นประโยชน์ เป็นอุทาหรณ์และกระตุ้นให้สังคมเห็นถึง 'ช่องโหว่' สำคัญในกระบวนการปราบปรามมิจฉาชีพไว้ตรงนี้ละกัน
คือว่า…เช้าวันที่ 5 เมษายน 2566 เราถูกมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกให้ติดตั้งแอปฯ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล แค่ไม่กี่นาที เงินเก็บเราทั้งหมด 1,350,000 บาท ก็หายไปจากบัญชี!
เรารีบไปแจ้งความภายใน 1 ชม.หลังเงินหาย เจ้าหน้าที่ธนาคารก็รีบตรวจสอบเส้นทางเงินให้ และบอกว่าเงินเราไหลผ่านบัญชีม้า 5 ราย ไปรวมอยู่ที่บัญชีของ 'บริษัทเครื่องดื่มใหญ่ระดับประเทศ' ที่มีชื่อเสียง พูดชื่อแล้วใครๆก็รู้จัก
ตอนแรกเรามีความหวังว่าจะได้เงินคืนแน่ เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารยืนยันว่า เงินของเรายังอยู่ในไทย ไม่ได้ถูกโอนออกไปต่างประเทศเหมือนรายอื่นๆ และธนาคารได้อายัดบัญชีบริษัท และโทรแจ้งบริษัทแล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ทำให้ความหวังของเราค่อยๆหมดไปเพราะ….
1. ถึงแม้ธนาคารได้แจ้งอายัดบัญชีของบริษัทไว้ตั้งแต่เช้าวันที่ 5 เมษายน และธนาคารได้โทรแจ้งบริษัททันที ว่าเงินนี้มาจากเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ฝ่ายขายของบริษัทให้การว่า ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างชาติ ลูกค้าจะทยอยโอนเงินมา หลังจากก็เช็คยอดครบ เขาก็จัดของส่งช่วงบ่ายวันที่ 6 เมษายนให้กับลูกค้าตามปกติ ฝ่ายขายบอกว่า “ไม่รู้” ว่าเงินโอนที่รับโอนมามีปัญหาโดนอายัด เพราะแผนกบัญชีไม่ได้แจ้งเขา เขาว่าเขาค้าขายสุจริต!
2. ประเด็นคือ ลูกค้าต่างชาติรายนี้ชำระเงินค่าสินค้าผ่านระบบโพยก๊วน!! มีสลิปโอนเงินย่อย ๆ ผ่านมือถือกว่า 30 ครั้ง จากคนไทยรายย่อยหลายสิบคน (มีบัญชีม้าปนมาด้วย) รวมยอดกว่า 6 ล้านบาท! ปกติลูกค้าต่างชาติรายนี้จะสั่งซื้อสินค้าเดือนละกว่า 20 ล้านบาท เขาค้าขายกันมาแล้ว 8 ปี นั่นก็เกือบ 2,000 ล้าน! แล้วเขาใช้ระบบโอนเงินแบบนี้มาตลอด ที่สำคัญคือบริษัทไม่เคยต้องตรวจสอบที่มาของเงินเลยสักบาท!
3. ถึงวันนี้เรื่องราวดำเนินมาเกือบ 3 ปี ตำรวจได้สรุปสำนวนส่งอัยการ แต่อัยการบอกว่าสามารถฟ้องร้องเรียกเงินคืนได้จากแค่บัญชีม้า 5 ราย เท่านั้น! ซึ่งเรารู้ดีว่าไม่มีทรัพย์สินคืนให้เราหรอก
4. ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ตามกฎหมายปัจจุบัน ถ้าบริษัทอ้างว่ารับเงินค่าสินค้ามาโดย 'สุจริต' และเป็นการค้าขายตามปกติ บริษัทไม่จำเป็นต้องคืนเงินให้ผู้เสียหาย ถึงแม้จะรู้ว่าเงินที่ได้รับมาจะเป็นเงินโจรก็ตาม เออ…ให้มันได้อย่างนี้สิ! นี่เป็นช่องโหว่ที่อำนวยความสะดวกให้อาชญากรมาก!!
5. เรารู้มาว่ามีผู้เสียหายแบบเราอีกหลายราย ที่เงินถูกหลอกโอนไปเข้าบริษัทนี้เหมือนกัน ตำรวจบอกว่ามีรายนึงเป็นคุณลุง โดนหลอกเงินไป 5 แสน เงินไหลไปเข้าบริษัทนี้เหมือนกัน ลุงแกพยายามสู้ถึงชั้นศาล ตำรวจบอกว่าสุดท้ายลุงแกแพ้
จากประสบการณ์ที่ติดตามคดีนี้มา 3 ปี เราบอกได้เลยว่าเงินที่ถูกหลอกไปสามารถถูก 'ฟอก' ผ่านธุรกิจขนาดใหญ่ที่ถูกต้องตามกฎหมายได้แบบเนียนๆ ช่องโหว่นี้ทำให้อาชญากรได้ใจ และทำให้เหยื่ออย่างเรา ต้องแบกรับความเสียหายอยู่คนเดียว!!!
เราอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาทบทวนกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นความสุจริตของผู้รับเงิน โดยเฉพาะเมื่อรับเงินจำนวนมหาศาลผ่านโพยก๊วน เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทต่าง ๆ กลายเป็น 'ท่อ' ในการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยอ้างความสุจริต
บอกตรงๆ ว่าถ้าเงินเราถูกโอนหายวับออกไปต่างประเทศตั้งแต่แรก เราคงไม่เจ็บปวดใจขนาดนี้ เพราะนี่เรารู้ทั้งรู้ ว่าเงินเราไหลไปเข้าบริษัทไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกฎหมายและระบบตุลาการไทย ไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายอย่างเรา
#อุทาหรณ์คอลเซ็นเตอร์ #ช่องโหว่กฎหมาย #เงินถูกฟอก #เหยื่อมิจฉาชีพ #เตือนภัยคอลเซ็นเตอร์ #ฟอกเงินผ่านบริษัท #แชร์ไว้เตือนกัน

https://www.facebook.com/sara.soo.37/posts/10235975458359854



บีบีซีไทยสำรวจเกาะพะงัน ในวันที่ชาวอิสราเอลทำให้บางพื้นที่ "กลายเป็นเทลอาวีฟย่อม ๆ"



บีบีซีไทยสำรวจเกาะพะงัน ในวันที่ชาวอิสราเอลทำให้บางพื้นที่ "กลายเป็นเทลอาวีฟย่อม ๆ"


ป้ายระบุข้อความไม่ต้อนรับชาวอิสราเอลที่ถูกแขวนไว้ที่ร้าน Pun Pun Thai Food เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2568 จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทั้งสื่อภาษาไทยและภาษาฮีบรู

วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
3 พฤศจิกายน 2025

"No Israel (ไม่รับอิสราเอล)" คือข้อความที่ร้าน Pun Pun Thai food ร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่หาดริ้น ต.บ้านใต้ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอิสราเอล ติดไว้หน้าร้าน

ข้อความดังกล่าวส่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในหน้าสื่อไทยและสื่อภาษาฮีบรู (ภาษาหลักที่ชาวอิสราเอลใช้สื่อสาร) แม้การขึ้นป้ายดังกล่าวจะส่งผลให้ร้านของคนไทยร้านนี้ ถูกกระหน่ำให้รีวิวหนึ่งดาวผ่านแพลตฟอร์มกูเกิลรีวิว แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าพิจารณาถี่ถ้วนดีแล้ว

"การกระทำในครั้งนี้ของพวกเราไม่ได้มีเจตนาที่เกี่ยวข้องกับสงคราม เชื้อชาติ ศาสนาแต่อย่างใด แต่เพราะทางร้านได้ถูกกระทำมานาน" ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อบัญชีว่า Pai Maytinee ผู้แสดงตนว่าเป็นหนึ่งในเจ้าของร้าน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว และเผยเหตุผลของความไม่พอใจจากการที่ชาวต่างชาติไม่เคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการเข้ามาอยู่อาศัยของบุคคลเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อชุมชน

อันที่จริงก่อนหน้านั้นไม่นานนัก กระแสความไม่พอใจของคนท้องถิ่นที่พุ่งเป้าไปยังผู้มีเชื้อชาติอิสราเอลในเกาะพะงัน ปรากฏขึ้นในโลกออนไลน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่มเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า "เกาะพะงัน - Koh Phangan" แพลตฟอร์มการสื่อสารของคนท้องถิ่น

4 ต.ค. โพสต์ของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Kaii Kpg โพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊กกลุ่มนี้ว่า ชาวอิสราเอลเข้ามา "ยึดครอง" เกาะพะงัน โดยเรียกร้องให้คนท้องถิ่น "ลุกขึ้นมาปกป้องเกาะแห่งนี้จากการถูกกลืนแผ่นดิน" โดยโพสต์ดังกล่าวได้จุดกระแสการถกเถียงในกลุ่มที่มีสมาชิกกว่า 48,000 คน แม้ต้นโพสต์จะถูกลบไป แต่ข้อความดังกล่าวถูกผลิตซ้ำผ่านหน้าแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กผ่านสื่อท้องถิ่นและมีผู้ส่งต่อกว่า 7 พันครั้ง

บีบีซีไทยลงพื้นที่ตรวจสอบข้อกล่าวหานี้ ตลอดจนสำรวจความคิดเห็นของคนในพื้นที่ต่อการเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของชาวอิสราเอล

ส่วนหนึ่งจากเอกสารลงชื่อนักท่องเที่ยวที่จะโดยสารโดยเรือออกจากเกาะพะงันไปยังเกาะอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง วันที่ 16 ต.ค. 2568 พบสัดส่วนของนักท่องเที่ยวอิสราเอลมากกว่าชาติอื่น

คลื่นนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เกาะพะงัน

ระหว่างที่บีบีซีไทยเดินทางออกจากเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยเรือรอบเที่ยงของวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา เราได้เห็นเอกสารลงทะเบียนรายชื่อผู้โดยสารบนเรือจากเกาะพะงันไปยังเกาะอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงในวันดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นเบาะแสหนึ่งที่ชี้ว่ามีคนอิสราเอลมาเดินทางมาเยือนเกาะกลางอ่าวไทยแห่งนี้มากน้อยเพียงใด

จากการลงพื้นที่ของบีบีซีไทย ณ ท่าเรือท้องศาลาบนเกาะพะงัน พบว่าผู้โดยสารของเรือเที่ยวเช้าจากเกาะพะงันไปเกาะสมุย ของวันที่ 16 ต.ค. เป็นนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลกว่า 70%

อันที่จริงเอกสารลงทะเบียนดังกล่าวเป็นเพียงประจักษ์พยานที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากใครเดินทางไปยังเกาะพะงันย่อมเห็นสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกถึงคลื่นนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาจากชาติตะวันออกกลางชาตินี้


ประชาชนผู้อยู่อาศัยในเกาะพะงันชี้ว่าเซ็นบีช (Zen Beach) กลายเป็นแหล่งรวมตัวยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยวอิสราเอล

"โซนอิสราเอล" คือชื่อลำลองที่ผู้ประกอบการไทยในพื้นที่หลายคนใช้เรียกบ้านศรีธนู ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะพะงัน

บีบีซีไทยสำรวจบรรยากาศยามเย็นบริเวณชายหาด "เซน บีช (Zen Beach)" ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แม้ดูเผิน ๆ จะเหมือนนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกทั่วไป แต่สิ่งที่เราสังเกตเห็นก็คือ ภาษาฮีบรูเป็นภาษาส่วนใหญ่ที่ถูกใช้ในการสื่อสารระหว่างนักท่องเที่ยวที่จับจองเต็มพื้นที่นั้น

ว่าแต่เหตุใดเกาะพะงันจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของพวกเขา ?

"สะดวกสบายและคุ้นเคย"

ชาวอิสราเอลอย่างน้อยสองคนซึ่งย้ายมาในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19 ยืนยันกับบีบีซีไทยว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางมาด้วยการบอกต่อแบบปากต่อปาก

"เกาะพะงันได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความงดงามทางธรรมชาติและความแตกต่างจากภูมิประเทศในอิสราเอลอย่างสิ้นเชิง" ยาอีร์ ชาวอิสราเอลผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่า 15 ปีและพำนักอยู่ในเกาะพะงันมาหลายปีอธิบายให้บีบีซีไทยฟัง

"อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเลือกเดินทางมายังเกาะแห่งนี้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป นั่นคือการที่เกาะพะงันกลายเป็นสถานที่ที่มีชาวอิสราเอลรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้พวกเขารู้สึกสะดวกสบายและคุ้นเคย"

ความเห็นของเขาสอดคล้องกับตัวเลขสมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊กภาษาฮีบรูที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "In Thailand - Phuket, Koh Samui, Koh Phangan" ซึ่งมีสมาชิกมากกว่าแสนราย ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยเลยสำหรับภาษาที่มีผู้พูดราว 9-10 ล้านคน

ภายในกลุ่มสังคมออนไลน์กลุ่มนี้ มีการแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวอิสราเอล

จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของสนามบินนานาชาติเบ็น-กูรีย็อน ประเทศอิสราเอล พบว่าแม้ประเทศไทยไม่ใช่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวอิสราเอล แต่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่อัตราการเติบโตเร่งตัวขึ้นในปี 2567 โดยนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางมาประเทศไทยคิดเป็น 4% ของนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมด

มีศูนย์กลางทางศาสนา

ยาอีร์อธิบายว่านักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวนมากเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เรียกกันว่า "นักท่องเที่ยวต้นแบบ" (model tourists)

"พวกเขามักไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีนัก การได้เดินทางมายังสถานที่ที่มีผู้คนพูดภาษาฮีบรูได้จึงง่ายกว่ามาก"

ในความเห็นของ เดวิด (นามสมมติ) ชาวอิสราเอลอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ไทยตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาะพะงันเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล คือการมีสาขาของ "เบตชาบัด" (Beit Chabad) หรือสถานที่ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่า "โบสถ์ยิว" เปิดให้บริการบนเกาะ

ยาอีร์กล่าวตรงกันในข้อนี้และขยายความว่า มีความเชื่อกันว่าจำนวนของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่หนึ่ง ๆ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการมีอยู่ของเบตชาบัด

"นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกที่จะรับประทานอาหารเฉพาะที่ศูนย์แห่งนี้ และเดินทางมาร่วมพิธีกรรมทางศาสนาในช่วงสุดสัปดาห์" ชาวอิสราเอลซึ่งอยู่เกาะพะงันมา 6 ปีกล่าวกับบีบีซีไทย

ประเทศไทยมี "เบตชาบัด" หรือ "ศูนย์ชาบัด (Chabad House)" อย่างน้อย 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ชาบัดที่ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ, สุขุมวิท กรุงเทพฯ, อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน, จ.ภูเก็ต ตลอดจนศูนย์ชาบัดที่ อ.เกาะสมุย และ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี

ที่เกาะพะงันมีศูนย์ชาบัดใหญ่ที่หมู่บ้านศรีธนู แวดล้อมตัวศาสนสถานมีร้านอาหารอิสราเอล เมื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามจะพบกับร้านรวงมากมาย รวมถึงสตูดิโอพิลาทีสที่ขึ้นป้ายเป็นภาษาฮีบรู ไม่ไกลกันนักพบศูนย์ท่องเที่ยวที่มีอักษรภาษาฮีบรูขนาดใหญ่เขียนว่า "המרכז למטייל תאילנד (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ประเทศไทย)"


ป้ายระบุ "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว" บริเวณหมู่บ้านศรีธนู ไม่ไกลจากศูนย์ชาบัดนัก


ป้ายหน้าสตูดิโอโยคะ บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์ชาบัด หมู่บ้านศรีธนู ซึ่งใช้ภาษาฮีบรูบนป้าย

บีบีซีไทยติดต่อกับศูนย์ชาบัด สาขาเกาะพะงัน ทางโทรศัพท์หลายครั้ง ครึ่งหนึ่งมีผู้รับโทรศัพท์และแจ้งให้เราส่งข้อความผ่านทางแพลตฟอร์มวอตส์แอป (WhatsApp) แทน แต่ข้อความที่บีบีซีไทยส่งไปไม่เคยได้รับการตอบรับ เมื่อเราเดินทางไปที่สาขาดังกล่าว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชี้แจงว่าไม่มีใครอยู่ และไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้

อาหารโคเชอร์

ตามคัมภีร์โทราห์ของศาสนายูดาย อาหารที่ชาวอิสราเอลพึงรับประทานต้องเป็นไปตามหลัก "กัชรุต (Kashrut)" ซึ่งกำหนดประเภทของอาหารที่สามารถบริโภคได้ รวมถึงวิธีการเตรียมอาหารอย่างเคร่งครัด ซึ่งบนเกาะพะงัน นอกจากหมู่บ้านศรีธนูแล้ว อีกหนึ่งพื้นที่ซึ่งมีร้านอาหารที่ระบุโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นร้านอาหารโคเชอร์ให้บริการ คือ พื้นที่หาดริ้น ต.บ้านใต้

ยาอีร์ชี้ว่าสำหรับผู้เคร่งครัดทางศาสนาอาจเลือกที่จะหลีกเลี่ยงอาหารท้องถิ่นและเลือกรับประทานเพียงร้านอาหารอิสราเอลหรือร้านอาหารที่เชื่อมั่นว่าจะเป็นอาหารโคเชอร์โดยเคร่งครัด

เสียงความกังวลจากคนท้องถิ่น

ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต ตลอดจนเหตุการณ์กระทบกระทั่งหลายกรณี ต่างถูกสะท้อนออกมาจากเสียงของคนไทยที่อาศัยบนเกาะอยู่ดั้งเดิม

ประดินันท์ สุขสบาย เจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะพะงัน กล่าวกับบีบีซีไทยว่ากลุ่มลูกค้าจากอิสราเอลร้องขอหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ

"สั่งข้าวผัดไก่ ต้องไปเอาไก่ให้ดูแล้วคุณต้องล้างต่อหน้า" เขายกตัวอย่าง พร้อมบอกว่านี่เป็นข้อเรียกร้องที่เขารู้สึกว่า "มากเกินไป"

ทั้งนี้ บีบีซีไทยสังเกตว่าเจ้าของร้านอาหารผู้นี้ไม่น่าจะทราบถึงวัฒนธรรมอาหารจำเพาะของศาสนายูดายที่ต้องล้างเลือดออกจากเนื้อสัตว์ก่อน

นอกจากนี้ ยังมีข้อพิพาทอื่นอีกระหว่างร้านอาหารของเขาและลูกค้าชาวอิสราเอลเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาในเรื่องวัตถุดิบในอาหาร ทำให้ครั้งนั้นเขาตัดสินใจแจ้งตำรวจเพื่อเรียกร้องให้ลูกค้าจ่ายค่าอาหารโดยมีภาพวงจรปิดเป็นหลักฐาน


ประดินันท์ สุขสบาย ผู้เป็นเจ้าของกิจการร้าน Pun Pun Thai Food

เมื่อความไม่พอใจต่อนักท่องเที่ยวอิสราเอลในเกาะพะงันระอุขึ้น ผู้ใช้งานในกลุ่มเฟซบุ๊กท้องถิ่นของเกาะพะงัน ต่างออกมาบอกเล่าเรื่องราวหลายกรณีที่กล่าวหาพุ่งตรงไปที่นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล

สมาชิกในกลุ่มเฟซบุ๊กท้องถิ่นที่ชื่อว่า กลุ่ม "เกาะพะงัน - Koh Phangan" ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะ โดยระบุถึงการจับกุมนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่นำธนบัตรปลอมมาแลกเงิน พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ขณะที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน สมาชิกอีกคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกันได้แจ้งเหตุรถยนต์ชนแล้วหนี โดยระบุว่าผู้ขับขี่น่าจะเป็นชาวอิสราเอลเช่นกัน

ร้าน Pun Pun Thai Food ที่เป็นผู้ประกอบการแห่งแรกที่แขวนป้ายไม่รับนักท่องเที่ยวอิสราเอลในเกาะพะงันยืนยันว่าการเจาะจงเช่นนั้นไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ

"เจตนาที่แท้จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาหรือสงครามของคุณ แต่โดนกระทำมาซ้ำ ๆ แล้วก็มันไม่ได้วันเดียว เราก็ทนมาเยอะมาก" โพสต์ของร้านระบุ

เหตุการณ์ความไม่พอใจต่อนักท่องเที่ยวสัญชาติเดียวเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อต้นปี 2568 เคยมีกระแสความกังวลของคนในพื้นที่ต่อจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ในลักษณะเดียวกัน ครั้งนั้นสื่ออิสราเอลเตือนว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอาจบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศได้

สำหรับเหตุการณ์ที่ จ.แม่ฮ่องสอน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงข่าวร่วมกับ ออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ระบุว่าความไม่พอใจต่อนักท่องเที่ยวมาจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรม

บางส่วนของชาวอิสราเอลที่เข้ามาอาจเป็นทหารผ่านศึก

จากคำบอกเล่าของคนบนเกาะพะงันที่เปิดเผยกับบีบีซีไทยอย่างน้อยสามคน ดูเหมือนผู้ประกอบการชาวไทยในพื้นที่เชื่อกันว่านักท่องเที่ยวอิสราเอลบนเกาะจำนวนมากเป็นทหารปลดประจำการจากการสู้รบในฉนวนกาซา

"เถียงกัน แล้วเขาก็เลยบอกว่าเขาเครียด ชีวิตเขามาจากสงคราม แต่การที่เราขายผัดไทยจานหนึ่งต้องโทรตามตำรวจอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ไง" ประดินันท์กล่าวยกตัวอย่าง เมื่อเราถามว่าเหตุใดกระแสความไม่พอใจจึงเกิดกับนักท่องเที่ยวที่มาจากอิสราเอล

แม้จะไม่สามารถตรวจสอบว่าในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลส่วนใหญ่ประกอบอาชีพใดได้โดยตรง แต่รายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า อัตรานักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 30% นับตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของสงครามในกาซา โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว (young travellers)

ในเดือน พ.ค. 2025 เดอะ ไทมส์ ออฟ อิสราเอล (The Times of Israel) รายงานว่ามีองค์กรภาคประชาสังคมองค์กรหนึ่งที่ชื่อ "Let's Do Something" ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อนของ เดวิด นิวแมน (David Newman) ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีในเทศกาลดนตรีซูเปอร์โนวาเมื่อ 7 ต.ค. 2023 ได้ร่วมกันตั้งศูนย์เยียวยาชื่อ "David's Circle" โดยมีศูนย์กลางที่เกาะพะงัน

พวกเขาตั้งเป้าให้ศูนย์แห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับการฟื้นฟูจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและทหารปลดประจำการ (Reservice Soldier) ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจระหว่างสงคราม ขณะเดียวกันก็ลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศและผลิตเนื้อหาสื่อที่สนับสนุนอิสราเอล

บีบีซีไทยตรวจสอบพบเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2568 ว่าบัญชีอินสตาแกรมที่ใช้ชื่อว่า "davidscirclekohphangan" ปิดการเข้าถึงจากสาธารณะไปแล้ว อย่างไรก็ดี วิดีโอที่เผยแพร่ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กขององค์กร Let's Do Something ได้เผยแพร่ภาพของสถานที่หนึ่งซึ่งระบุว่าเป็นสถานที่ในเกาะพะงัน

ผู้บรรยายกล่าวในวีดีโอว่า "หนึ่งปีที่แล้วคนกว่าพันคนมารวมกันเพื่อสร้างศูนย์นี้ให้เกิดขึ้นจริง และเพราะคุณ [ผู้สนับสนุน] ชาวอิสราเอลหนุ่มสาวกว่า 700 คนได้เข้าถึงการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการในการเยียวยาตนเอง "

บีบีซีไทยสืบค้นพบว่าสถานที่ดังกล่าวตรงกับสถานที่ที่ชื่อว่า เดอะ วิสดอม อายส์ (The Wisdom Eyes) ซึ่งให้บริการเช่าสถานที่จัดกิจกรรมบริเวณใกล้กับบ้านศรีธนูบนเกาะพะงัน

ผู้ดูแลสถานที่ดังกล่าวระบุว่า David's Circle เป็นกลุ่มบุคคลที่มาเช่าสถานที่จัดกิจกรรมสัปดาห์ละสองครั้ง ทุก ๆ ช่วงบ่ายและเย็นวันจันทร์และวันพุธ ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปี โดยครั้งล่าสุดที่มีการจัดกิจกรรมที่สถานที่ดังกล่าวคือปลายเดือน ก.ย. 2568

"เราเป็นเพียงผู้ทำธุรกิจ ไม่ได้รู้เรื่องของพวกเขามากนัก" ผู้ดูแลสถานที่บอกกับบีบีซีไทย โดยชี้ว่ากลุ่มนี้มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำกิจกรรมและอาจยังคงจัดกิจกรรมในสถานที่อื่น

ร่องรอยจากความขัดแย้งและการสู้รบจากบ้านเกิดยังติดตัวนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่มาอยู่บนเกาะพะงันด้วย ทั่วทั้งหมู่บ้านศรีธนู มีสติ๊กเกอร์ภาษาฮีบรูจำนวนมากถูกติดไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ บ้างมีรูปสัญลักษณ์หน่วยรบ บ้างมีรูปชายหนุ่มในชุดทหาร เมื่อสแกนคิวอาร์โค้ด (qr code) ที่ระบุในสติ๊กเกอร์เหล่านี้ จะนำไปสู่บัญชีอินสตาแกรมที่ร่วมรำลึกถึงทหารผู้ล่วงลับ


สติ๊กเกอร์พร้อมข้อความภาษาฮีบรูแบบนี้สามารถพบได้ทั่วไปบริเวณที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในเกาะพะงัน สติ๊กเกอร์เหล่านี้แสดงข้อความรำลึกทหารอายุน้อยซึ่งเสียชีวิตในสงครามอิสราเอล-กาซา ตลอดสองปีที่ผ่านมา บางครั้งพบคิวอาร์โค้ดที่เมื่อสแกนแล้วจะนำไปสู่เว็บไซต์หรือหน้าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ตั้งขึ้นเพื่อรำลึกบุคคลเหล่านั้น

การติดสติ๊กเกอร์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบนเกาะพะงันเท่านั้น หากแต่พบเห็นได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

"ในแง่มุมทางจิตวิทยา แม้ผมจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมนี้อาจเป็นกลไกทางจิตใจรูปแบบหนึ่งในการรับมือกับสถานการณ์ เหมือนเป็นความพยายามที่จะรู้สึกว่าตนเอง 'ได้ทำอะไรบางอย่าง' แทนที่จะนั่งพักผ่อนอยู่ริมชายหาด ขณะที่เพื่อนของตนบางคนอาจกำลังตกเป็นเชลยอยู่ในสนามรบในขณะนั้น" ยาอีร์กล่าว

สำหรับในประเทศไทย เคยมีนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่ถูกระบุว่าเป็นอดีตทหารถูกจับกุมและปรากฏเป็นข่าวในไทยอย่างน้อย 2 ครั้ง ได้แก่ กรณีอดีตหน่วยรบพิเศษอิสราเอลถูกจับกุมข้อหาประกอบธุรกิจมัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาต เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา และล่าสุดเป็นกรณีอดีตทหารชาวอิสราเอล 4 รายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมข้อหาเสพยาเสพติดและมียาเสพติดไว้ในครอบครอง เมื่อต้นเดือน ต.ค.

คำตักเตือนในกลุ่มชาวอิสราเอล

สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยเคยออกแนวปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา

คำแนะนำของสถานทูตอิสราเอล มีตั้งแต่อย่าส่งเสียงดังและหลีกเลี่ยงการตะโกนหรือพูดคุยเสียงดังบนถนน โรงแรม และพื้นที่สาธารณะ, ให้ปฏิบัติตามกฎจราจรและกฎการจอดรถอย่างเคร่งครัด, อย่าทำงานในประเทศไทยโดยไม่ได้รับใบอนุญาตที่เหมาะสม, ควรแต่งกายให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเดินไปตามถนนหรือสถานที่สาธารณะโดยไม่สวมเสื้อ และปฏิบัติต่อคนในท้องถิ่นด้วยความเคารพ พูดจาสุภาพและมีน้ำใจ ตลอดจนการต่อรองราคาในตลาดควรมาพร้อมกับรอยยิ้ม เป็นต้น

สำหรับความไม่พอใจของคนท้องถิ่นที่เกาะพะงันในระลอกนี้ ชาวอิสราเอลบางส่วนโพสต์สะท้อนข้อกังวลต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวร่วมชาติด้วยเช่นกัน

ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า เอดี โคเฮน โพสต์ข้อความเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งถูกแชร์ไปกว่าสองร้อยครั้งระบุว่า "พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล แม้จะเกิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่รู้ตัว ก็ถูกมองว่าเป็นการแสดงออกที่แข็งกร้าวและไม่ให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และในฐานะที่เราเป็นแขกของประเทศ หากไม่เข้าใจบริบทนี้ เราอาจสูญเสียพื้นที่ของเราในสังคมแห่งนี้ได้"

ชาวอิสราเอลผู้นี้ยังให้ข้อแนะนำหลายข้อ โดยระบุว่าพฤติกรมดังกล่าวทำให้ "ชุมชนชาวอิสราเอลที่พำนักอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนานได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบ"

อย่างไรก็ดี ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบางส่วนแสดงความเห็นในโพสต์เดียวกันว่าปัญหาความไม่พอใจอาจมีรากลึกมากกว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว แต่เกิดมาจากการที่ชาวอิสราเอลย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย

"ชาวอิสราเอลอยู่รวมกันเป็นย่านใหญ่สร้างผลกระทบไว้มาก และการที่บางคนเปิดธุรกิจ ไม่ได้แค่มาเที่ยว ก็ยิ่งทำให้คนในพื้นที่รู้สึกว่าเรากำลังเข้ามาแทนที่มากขึ้น" ผู้แสดงความคิดเห็นรายหนึ่งระบุ

ความคิดเห็นข้างต้นสอดคล้องกับข้อกังวลของประดินันท์ ผู้ประกอบการร้านอาหารคนไทยบนเกาะที่สงสัยในจุดประสงค์อันแท้จริงของนักท่องเที่ยวบางส่วนที่เข้ามา

"มาเที่ยวยังไง แบบนี้เรียกว่าการท่องเที่ยวจริงหรือเปล่า เพราะลูกค้าชาวอิสราเอลมาพักรีสอร์ตของคนอิสราเอล ใช้บริการทัวร์ รถเช่า และร้านอาหารที่เจ้าของก็เป็นคนอิสราเอลทั้งหมด แล้วร้านของคนท้องถิ่นอยู่ตรงไหน ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน" ประดินันท์ ระบุ

ความเห็นจากคนท้องถิ่นบางคนยังสะท้อนความกังวลในรูปแบบเดียวกัน ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กรายหนึ่งอ้างว่า ชาวยิวที่ย้ายเข้ามาอาศัยในเกาะนั้นตั้งบริษัททัวร์เพื่อชักชวนและให้คำแนะนำช่วยเหลือชาวอิสราเอลรายอื่นเพื่อโยกย้ายเข้ามาอาศัยในเกาะพะงัน ตั้งโรงเรียนนานาชาติ อันเป็นสัญญาณของการอยู่อาศัยเป็นชุมชนในระยะยาว

เขายังกล่าวอีกว่า "ในบ้านศรีธนู ได้กลายเป็นเทลอาวีฟ (Tel Aviv เมืองหลวงของอิสราเอล) ย่อม ๆ" ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Kaii Kpg ระบุ

หลังจากกระแสความไม่พอใจของคนท้องถิ่นปรากฏดังชัดในสังคมออนไลน์เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. เจ้าหน้าที่ในท้องที่ก็เริ่มดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องที่ดินและการถือครองธุรกิจ

ติดตามประเด็นปัญหาเรื่องที่ดินและการถือครองธุรกิจของชาวต่างชาติบนเกาะพะงัน ได้ในตอนต่อไป

https://www.bbc.com/thai/articles/cgkzm7j3g54o



Israeli occupation soldiers who committed the sexual and physical assault against a Palestinian prisoner in Sde Teiman prison sparking international outrage

VIDEO: Netanyahu Calls Leaked IDF Abuse VIDEO: Netanyahu Calls Leaked IDF Abuse Footage a ‘PR Problem’ |Israel Ignoring Palestinian Torture?

Oneindia News

Premiered 12 hours ago 

Israeli Prime Minister Benjamin Netanyahu is under intense criticism after referring to the alleged sexual-abuse video involving IDF soldiers at the Sde Teiman detention facility as a public relations disaster rather than addressing the seriousness of the reported misconduct. The footage—shared online and widely condemned—purportedly shows Palestinian detainees being abused by soldiers, sparking international outrage. The former senior military legal official who was reportedly linked to the leak briefly went missing, triggering a large-scale search before authorities located her safely. Critics accuse Israeli leadership of focusing on damage control instead of accountability. Eight reservists from Force 100 have reportedly been charged over the alleged abuse, though further action remains pending. Netanyahu’s remarks have been condemned for seemingly minimizing Palestinian suffering and framing the incident primarily as a communications crisis.

https://www.youtube.com/watch?v=AYmeviD_TwI



 


 

การทวงถามความยุติธรรมไม่เคยหยุด


The101.world
11 hours ago
·
● การทวงถามความยุติธรรมไม่เคยหยุด
.
จากกรณีนิสิตจุฬาฯ ชูป้ายประท้วง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี เหตุสั่งสลายการชุมนุมปี 2553 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 พ.ย. 2568)
.
สำนักข่าวประชาไทรายงานว่า อภิสิทธิ์ได้นั่งคุยกับกลุ่มนิสิตเป็นเวลา 20 นาที โดยชี้แจงว่าตนไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ป.ป.ช. มีข้อสรุปว่าคำสั่งของตน ณ ช่วงเวลานั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา และมีการต่อสู้คดี 3 ศาล ก่อนที่ศาลจะยกฟ้อง ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียงทั้งในเชิงกฎหมายและข้อเท็จจริงตามมา
.
ท่ามกลางข้อถกเถียงที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงหนึ่งคือ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 99 ราย และบาดเจ็บมากกว่าพันราย โดยตลอด 15 ปีที่ผ่านมา การดำเนินคดีเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนนั้นถูกแช่แข็ง ขณะที่ผู้ชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘ชายชุดดำ’ กลับต้องติดคุกฟรีนานหลายปี
.
วันโอวัน ชวนฟังข้อเท็จจริงจากมุมของผู้สูญเสีย ผ่านชุดผลงานสารคดี
.
เสียงจากดินถึงฟ้า: ชะตากรรมวีรชน ’53 ในความเงียบงัน
https://youtu.be/w0QGO1p5jVQ
.
Who's the Black Shirt?
https://youtu.be/ZyVaiFnKh-E
.
ทวงความเป็นธรรม ‘คนเสื้อแดง’ ในการเมืองข้ามขั้ว 15 ปี เมษา-พฤษภา 53
https://youtu.be/b7fe9U4Ebnw
.
#คนเสื้อแดง #นปช #พฤษภา53 #The101world #วันโอวัน

https://www.facebook.com/the101.world/posts/1371345204360282













รางวัลนักปกป้องสิทธิถึง ‘ทนายอานนท์’ ยืนยันสู้แม้เจออุปสรรคดาหน้ากันมา


ประชาไท Prachatai.com
7 hours ago
·
3 พ.ย. 2568 ที่ จิม ทอมป์สัน อาร์ท เซ็นเตอร์ องค์กร Front Line Defenders จัดงานมอบรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 ให้ อานนท์ นำภา ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิต

บรรยากาศวันนี้ มีครอบครัวของอานนท์ นำภา องค์กรสิทธิมนุษยชน ตัวแทนสถานทูต และประชาชนมาร่วมงาน โดยเริ่มจาก อลัน กลาสโกว์ (Alan Glasgow) ผู้อำนวยการของ Front Line Defenders เดินทางมาจากไอร์แลนด์เข้าร่วมด้วย แม้ว่าอานนท์ไม่สามารถเดินทางมารับรางวัลด้วยตัวเองได้ เพราะยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

อลันกล่าวปาฐกถา ถึงการคัดเลือกผู้ได้รับปีนี้ว่า การตัดสินใจในแต่ละปีไม่เคยง่ายเลย เพราะในยุคสมัยที่มืดมนนี้ ยังมีผู้คนมากมายที่กล้าลุกขึ้นพูด ออกมาเรียกร้อง และต่อสู้เพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นทนายความ นักข่าว เกษตรกร นักกิจกรรม ชุมชนชนพื้นเมือง เยาวชน หรือครู พวกเขาทั้งหมดต่างต่อสู้กับอุปสรรคอันใหญ่หลวง การเลือกปฏิบัติที่หยั่งรากลึก และการปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อรักษาความหวังแห่งสิทธิมนุษยชนของทุกคน

อลันยังกล่าวต่อว่าทุกปีผู้ได้รับรางวัลคือผู้ที่ยึดมั่นต่อมาตรฐานสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือผู้อื่น เชื่อมั่นในความเท่าเทียม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบจนถึงการจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการ คุกคามถึงชีวิต และการดำเนินคดี เฉพาะปีที่ผ่านมามีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 324 คน ใน 32 ประเทศถูกสังหารแม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ด้วยสันติก็ตาม

อลันยังกล่าวแสดงความเสียใจที่อานนท์ไม่สามารถมารับรางวัลได้ด้วยตัวเองเนื่องจากถูกคุมขังจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน แต่การเฉลิมฉลองยกย่องถึงความกล้าหาญของเขาครั้งนี้ยังเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากปรากฏแนวโน้มที่ชัดเจนในไทยว่านับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชาชนเกือบ 2,000 คน รวมถึงเยาวชนมากกว่า 280 คน ถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับการชุมนุมโดยสงบ ภายใต้กฎหมายหลายฉบับที่ส่งผลให้เกิด “ความเยือกเย็น” ต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมทางสังคมสถานการณ์นี้สะท้อนถึง การปราบปรามผู้เห็นต่าง และยังมีนักปกป้องสิทธิชาวไทยอีกมากที่ต้องทำงานภายใต้สภาพกดดันจากการใช้กฎหมายดำเนินคดีทางการเมืองทั้งมาตรา 112 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

จากนั้น ปฐมพร แก้วหนู ครอบครัวของ อานนท์ นำภา เป็นตัวแทนขึ้นกล่าวพูดขอบคุณและรับรางวัลแทน ต่อด้วยพูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษชน กล่าวถึงอานนท์ปิดท้ายพิธีรับรางวัล

ด้าน ปฐมพร แก้วหนู ได้อ่านจดหมายที่อานนท์ นำภา ฝากข้อความออกมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลนี้ว่า

“เป็นเกียรติและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกได้รับพลังอย่างมหาศาลสำหรับการต่อสู้บนเส้นทางข้างหน้า เส้นทางที่มืดมิดกึกก้องไปด้วยเสียงคำรามของปีศาจในนามของสังคมเก่า

ผมและเพื่อนๆ ของผมเกิดและเติบโตในสังคมเก่า ประหนึ่งนกที่เกิดและเติบโตในกรง บรรพบุรุษของเราถูกกดขี่และถูกหลอกลวงด้วยความคิดที่ล้าหลังและไร้เหตุผล อำนาจของสังคมเก่าสร้างโฆษณาชวนเชื่อกล่อมเกลา และหลายครั้งก็บังคับให้เราเชื่อว่ามนุษย์มิได้เกิดมาเท่าเทียมกันหากแต่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และอีกกลุ่มเป็นผู้ถูกปกครอง

บรรพบุรุษของเราพยายามลุกขึ้นท้าทายและเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อนั้น พยายามถากถางทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มบ้างลุกบ้าง แต่ความพยายามนั้นไม่เคยหยุด ไม่เคยขาดสาย การต่อสู้กับสังคมเก่าได้ถูกส่งไม้ต่อมาจนถึง “รุ่นเรา”

วันนี้ ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสังคมเก่าได้เกิดขึ้นทุกมุมโลก ในยุคที่การกดขี่ย่ามใจ พยายามขยายพื้นที่กินขอบเขตของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กินพื้นที่ในการแสดงออกและการต่อต้านในวิธีอื่น ๆ ด้วยความหวังจะหวนคืนสู่สังคมเก่าและกำจัดสังคมใหม่มิให้ก่อเกิด

ในประเทศผมก็เช่นกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด การปราบปรามถูกนำมาใช้ การเข่นฆ่าเอาชีวิต การยัดเยียดข้อหาจับขัง การตัดสิทธิทางการเมืองและการกดให้หมอบกราบต่อสังคมเก่า กลายเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทว่าพวกเรา มิได้สยบยอม

เมื่อปี 2563 พวกเราลุกขึ้นสู้ในนาม “ราษฎร 2563″ เพื่อสานต่อการต่อสู้ของบรรพบุรุษ การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นโดยกว้างขวางและแหลมคม ด้วยความเชื่อว่าเสรีภาพและความเสมอภาคจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการต่อสู้ และด้วยการลุกขึ้นสู้ในครั้งนั้น ผลคือผู้คนในสังคมของผมได้ตื่นจากภาพลวงตาที่สังคมเก่าสร้างขึ้นและใช้กดขี่พวกเรา ระหว่างการต่อสู้ บาดแผลทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น การล้มลงในทุกครั้งทำให้เราทนทานต่อความเจ็บปวดและยืนได้อย่างมั่นคง

รางวัลนี้ไม่ใช่เหรียญตราที่ประดับบนปีกของนก หากแต่เป็นสายลมใต้ปีก เป็นพลังที่หนุนเสริมให้พวกเราโบยบินไปคว้าชัยในที่สุด เข้ามา! เข้ามา! อุปสรรคทั้งหลาย เสียงขู่คำรามทั้งหลาย จงดาหน้าเข้ามา พวกเราจะสู้เพื่อให้มันจบในรุ่นเรา! ด้วยความขอบคุณ เชื่อมั่น และศรัทธา

อานนท์ นำภา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 8 พฤษภาคม 2568“

อย่างไรก็ตาม อานนท์ นำภา นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Front Line Defenders สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชียหลายคนเคยได้รับรางวัลนี้ ทั้งจากจีน กัมพูชา ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ไม่เคยมีคนไทยได้รางวัลนี้มาก่อน

รางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักในระดับชาติและนานาชาติต่องานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงภัยจากการคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการทำงานหรือเคลื่อนไหวของตน และยังเปิดโอกาสให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้สื่อสารประเด็นสิทธิมนุษยชนที่กำลังดำเนินการอยู่

ในปีนี้ รางวัล Front Line Defenders ได้ถูกมอบให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก 5 ทวีป ได้แก่ Luc Expedite Zinsou Agblakou จากประเทศเบนิน, Sharifakhon Madrakhimova จากประเทศอุซเบกิสถาน, องค์กร “Mondha” (The Movement for Human Rights, Peace, and Global Justice) จากประเทศโดมินิกันและเฮติ, Mhamed Hali จากเวสเทิร์นซาฮาร่า และอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จากประเทศไทย โดยมีพิธีรับรางวัลที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีพิธีรับรางวัลที่ประเทศไทยอีกครั้งในวันนี้

แมวส้ม ภาพ/รายงาน

อ่านทั้งหมดที่ลิงก์


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1267294422111529&set=a.643704854470492




ถ้อยคำของอานนท์จากงานมอบรางวัลของ Front Line Defenders ซึ่งถูกอ่านครั้งแรกวันที่ 22 พ.ค. 2568 ในภาษาอังกฤษ ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ และ 3 พ.ย. 2568 ในภาษาไทย ณ จิม ทอมสัน อาร์ท แกลลอรี

https://www.facebook.com/eggcatcheese/posts/1142311358050418

ไข่แมวชีส added photos to the album: 3 พ.ย. 68 Front Line Defenders มอบรางวัล อานนท์ นำภา
8 hours ago
·
Front Line Defenders มอบรางวัลนักปกป้องสิทธิแม้ตกอยู่ในความเสี่ยงให้ “อานนท์ นำภา” ถึงไทย แม้เจ้าตัวยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำด้วยคดี ม.112
.
3 พ.ย. 2568 เวลา 15.00-17.00 น. ณ จิมทอมสัน อาร์ท เซ็นเตอร์ องค์กร Front Line Defenders จัดงานมอบรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 ให้ อานนท์ นำภา ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิตส่วนตัว โดยมี Alan Glasglow , Executive Director ของ Front Line Defenders เดินทางมาจากไอร์แลนด์เข้าร่วมด้วย แม้ว่าอานนท์ไม่สามารถเดินทางมารับรางวัลด้วยตัวเองได้ เพราะยังถูกคุมขังในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยปัจจุบันเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
.
บรรยากาศวันนี้ มีครอบครัวของอานนท์ นำภา องค์กรสิทธิมนุษยชน ตัวแทนสถานทูต และประชาชนมาร่วมงาน โดยเริ่มจาก Alan Glasglow , Executive Director ของ Front Line Defenders เป็นผู้กล่าวเปิด ต่อด้วยครอบครัวของ อานนท์ นำภา คือปฐมพร แก้วหนู เป็นตัวแทนขึ้นกล่าวพูดขอบคุณและรับรางวัลแทน ต่อด้วยพูนสุข พูนสุขเจริญ ตัวแทนจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษชน กล่าวถึงอานนท์ปิดท้ายพิธีรับรางวัล
.
ด้าน ปฐมพร แก้วหนู ได้อ่านจดหมายที่อานนท์ นำภา ฝากข้อความออกมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลนี้ว่า
.
“เป็นเกียรติและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกได้รับพลังอย่างมหาศาลสำหรับการต่อสู้บนเส้นทางข้างหน้า เส้นทางที่มืดมิดกึกก้องไปด้วยเสียงคำรามของปีศาจในนามของสังคมเก่า
.
ผมและเพื่อนๆ ของผมเกิดและเติบโตในสังคมเก่า ประหนึ่งนกที่เกิดและเติบโตในกรง บรรพบุรุษของเราถูกกดขี่และถูกหลอกลวงด้วยความคิดที่ล้าหลังและไร้เหตุผล อำนาจของสังคมเก่าสร้างโฆษณาชวนเชื่อกล่อมเกลา และหลายครั้งก็บังคับให้เราเชื่อว่ามนุษย์มิได้เกิดมาเท่าเทียมกันหากแต่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และอีกกลุ่มเป็นผู้ถูกปกครอง
.
บรรพบุรุษของเราพยายามลุกขึ้นท้าทายและเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อนั้น พยายามถากถางทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มบ้างลุกบ้าง แต่ความพยายามนั้นไม่เคยหยุด ไม่เคยขาดสาย การต่อสู้กับสังคมเก่าได้ถูกส่งไม้ต่อมาจนถึง “รุ่นเรา”
.
วันนี้ ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสังคมเก่าได้เกิดขึ้นทุกมุมโลก ในยุคที่การกดขี่ย่ามใจ พยายามขยายพื้นที่กินขอบเขตของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กินพื้นที่ในการแสดงออกและการต่อต้านในวิธีอื่น ๆ ด้วยความหวังจะหวนคืนสู่สังคมเก่าและกำจัดสังคมใหม่มิให้ก่อเกิด
.
ในประเทศผมก็เช่นกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด การปราบปรามถูกนำมาใช้ การเข่นฆ่าเอาชีวิต การยัดเยียดข้อหาจับขัง การตัดสิทธิทางการเมืองและการกดให้หมอบกราบต่อสังคมเก่า กลายเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทว่าพวกเรา มิได้สยบยอม
.
เมื่อปี 2563 พวกเราลุกขึ้นสู้ในนาม “ราษฎร 2563″ เพื่อสานต่อการต่อสู้ของบรรพบุรุษ การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นโดยกว้างขวางและแหลมคม ด้วยความเชื่อว่าเสรีภาพและความเสมอภาคจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการต่อสู้ และด้วยการลุกขึ้นสู้ในครั้งนั้น ผลคือผู้คนในสังคมของผมได้ตื่นจากภาพลวงตาที่สังคมเก่าสร้างขึ้นและใช้กดขี่พวกเรา ระหว่างการต่อสู้ บาดแผลทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น การล้มลงในทุกครั้งทำให้เราทนทานต่อความเจ็บปวดและยืนได้อย่างมั่นคง
.
รางวัลนี้ไม่ใช่เหรียญตราที่ประดับบนปีกของนก หากแต่เป็นสายลมใต้ปีก เป็นพลังที่หนุนเสริมให้พวกเราโบยบินไปคว้าชัยในที่สุด เข้ามา! เข้ามา! อุปสรรคทั้งหลาย เสียงขู่คำรามทั้งหลาย จงดาหน้าเข้ามา พวกเราจะสู้เพื่อให้มันจบในรุ่นเรา! ด้วยความขอบคุณ เชื่อมั่น และศรัทธา
.
อานนท์ นำภา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 8 พฤษภาคม 2568“
.
อย่างไรก็ตาม อานนท์ นำภา นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Front Line Defenders สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชียหลายคนเคยได้รับรางวัลนี้ ทั้งจากจีน กัมพูชา ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ไม่เคยมีคนไทยได้รางวัลนี้มาก่อน
.
โดยรางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสนใจในระดับชาติและนานาชาติต่องานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงภัยจากการคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการทำงานหรือเคลื่อนไหวของตน และยังเปิดโอกาสให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้สื่อสารประเด็นสิทธิมนุษยชนที่กำลังดำเนินการอยู่
.
ซึ่งในปีนี้ รางวัล Front Line Defenders ได้ถูกมอบให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก 5 ทวีป ได้แก่ Luc Expedite Zinsou Agblakou จากประเทศเบนิน, Sharifakhon Madrakhimova จากประเทศอุซเบกิสถาน, องค์กร “Mondha” (The Movement for Human Rights, Peace, and Global Justice) จากประเทศโดมินิกันและเฮติ, Mhamed Hali จากเวสเทิร์นซาฮาร่า และอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จากประเทศไทย โดยมีพิธีรับรางวัลที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีพิธีรับรางวัลที่ประเทศไทยอีกครั้งในวันนี้
.....

https://www.facebook.com/xannth.na.pha/posts/pfbid02Urz6xgC7bMg4tyxsvqr9C7sctAoaT8p1cyraPcrS4yjEGFzhfdZ4UbquM7fCutaKl



ทนายวิญญัติ ไล่ไทม์ไลน์ 99 ศพ ปี53 ถามหามนุษยธรรม-ความรับผิดชอบ ‘นายกฯอภิสิทธิ์’ โศกนาฏกรรมที่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย จากการชุมนุมทางการเมือง มันยากที่จบลงด้วยการเดินหนีไป



ทนายวิญญัติ ไล่ไทม์ไลน์ 99 ศพ ปี53 ถามหามนุษยธรรม-ความรับผิดชอบ ‘นายกฯอภิสิทธิ์’

3 พฤศจิกายน 2568
มติชนออนไลน์

จากกรณีนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชูป้ายผ้าประท้วง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับเชิญไปบรรยายที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐในการชุมนุมปี 2553 นั้น

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวนายทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว ความว่า

“#ถามวัวตอบควาย จากข่าวนิสิตจุฬาฯ ชูป้าย ต่อหน้านายอภิสิทธิ์ แต่คำตอบที่ได้ นอกจากไม่ได้ตอบแล้ว ก็ได้โต้ตอบกลับด้วยผลของคดีของเขา ผมจะมาย้อนให้หลายๆคนทราบ

[1] การชุมนุมของคนเสื้อแดงร่วมแสนในปี 2553 จบลงด้วยประชาชนนับ 1,000 ราย ถูกดำเนินคดีด้วยประกาศต่างๆตามพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ของ ศอฉ.โดยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีการจับผู้ฝ่าฝืนการชุมนุมดำเนินคดีข้อหาร้ายแรงกว่า 100 คดี ทั้งในกรุงเทพฯปริมณฑลและต่างจังหวัด

[2] ต่อมาภายหลังจาก คสช. ยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง(รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กระทั่งเมื่อ 22 พฤษภาคม 2558 ได้ 1 ปีเศษ อะไรๆภายใต้อำนาจ คสช.ก็เกิดขึ้นภายใต้อำนาจดุลพินิจ ของ ป.ป.ช

ใช่ครับ ผมกำลังกล่าวถึง อำนาจของรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพลเรือน ใช้อำนาจบริราชการแผ่นดินจนเกิดความรุนแรงทางการเมือง ทำให้เกิดการสังหารประชาชนกว่า 100 ศพ ”คดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง“

[3] ในฐานะที่ผมเป็นคนหนึ่ง ที่อยู่ในที่ชุมนุมปี 2552,2553 ต่อมาได้ทำหน้าที่ทนายความในการพิสูจน์ความจริงจากการถูกใส่ร้าย การต่อสู้คดีของคนเสื้อแดง ต่างรู้ดีว่าผู้ที่มีอำนาจและเจ้าหน้าที่รัฐที่มาเกี่ยวข้องกับการใช้กองกำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม

นี่คือหนึ่งเหตุการณ์… เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลา 03.00 ศอฉ.ดำเนินการมาตรการปิดล้อมและสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่ตามแนวทางสั่งการของรัฐบาล โดยมีข้อมูลตามกระดานเขียนข่าว ว่า ผอ.ศอฉ. ได้สั่งการให้มีการใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง พร้อมยุทโธปกรณ์ทางการทหารเต็มอัตราศึกบุกเข้าทำลายแนวกั้นของผู้ชุมนุม เพียงเพื่อต้องการให้ยุติการชุมนุมและจับตัวแกนนำ

ผลที่ตามมาคือความตายและการเจ็บของประชาชนจำนวนมาก



[4] “เหตุการณ์ 6 ศพ วัดปทุมวราราม” ในการสลายชุมปี53 ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษ ที่ศาลมีคำสั่ง ไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ไปยังอัยการสำนักงานคดีพิเศษแล้วหลายคดีซึ่งรวมถึงการตั้งรูปคดี เป็นสำนวนการวิสามัญฯ ที่ 6 ศพวัดปทุมฯ ที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนชันสูตร 6 ศพ วัดปทุมฯ เเล้วได้เคยถูกส่งมาเป็นสำนวนประกอบท้ายสำนวนในคดีที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เเละนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในความผิดฐานร่วมกันก่อ หรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เเต่การส่งมาในขณะนั้นเป็นเพียงสำนวนประกอบเพื่อเอาผิด นายอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพ ซึ่งเป็นสำนวนหลัก

โดยขณะนั้นทางดีเอสไอเเจ้งกับทางอัยการว่า “ ยังไม่สามารถหาตัวผู้ยิงได้ว่าเป็นใคร” เเต่ส่งมาเพื่อประกอบสำนวนของอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพ

อัยการก็ยื่นฟ้องไปโดยเเนบคำสั่งศาลคดี 6 ศพ วัดปทุมฯเเละสำนวนไต่สวนการตายอื่นๆ ไปท้ายฟ้อง โดยที่ยังไม่ได้พูดในเนื้อหาว่าคดีที่ศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายมาเเล้วว่าใครเป็นผู้กระทำเนื่องจากทางพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ยังไม่ทำสำนวนมา เป็นเพียงเเต่การเเนบสำนวนไปให้ศาลเห็นว่าอภิสิทธิ์ เเละนายสุเทพเป็นผู้สั่งการเเละใช้ให้มีการกระทำเกิดขึ้น เเต่ต่อมาภายศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นอำนาจ ปปช.

“จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมทั้งนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 (ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป..”

นั่นคือ ถ้อยแถลงบางส่วนของข่าวสำนักงานป.ป.ช. ที่เผยแพร่อออกมา (ดูภาพประกอบ)



[5] ป.ป.ช.ในยุค คสช. ยอมรับในตัวว่า ทหารเป็นผู้ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บขึ้นกับประชาชนจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมทั้งเดือนเมษายน- พฤษภาคม 2553 เพราะหลักฐานมันชัดแจ้งจนยากที่จะไม่ยอมรับ

แต่คนที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งให้ใช้กำลัง ให้ใช้อาวุธปืนกระสุนจริง ทั้งซุ่มยิงทั้งยิงโจ่งแจ้ง ก็เป็นไปตามทางไต่สวนฯ คือ พ้นผิดจากข้อกล่าวหา

จากการไต่สวนคดีนี้ ส่งผลในทางกฎหมายทันทีว่า *ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 รายกับพวก ได้ทำตามหน้าที่โดยมีมาตรการจากเบาไปหาหนักแล้ว ส่วนเรื่องที่มีมติส่งไปให้ดีเอสไอสอบสวนต่อนั้น คือกรณีที่มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ดีเอสไอ สอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีที่ทำให้มีการตายเกิดขึ้น หรือการฆ่าคนตายที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ยิงถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการแต่อย่างใด

[6] บทละครแบบนี้ คือ การโยนให้ดีเอสไอก็เพื่อเอาไว้ตอบสังคมว่าให้หาคนฆ่าประชาชนมาให้ได้สิ ทั้งๆที่ได้รับรองโดยการสอบสวนของป.ป.ช. ว่าทำโดยชอบ พอสมควรแก่เหตุ และโดยสุจริต ตามนัย ม.17 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไว้แล้ว ฉะนั้น การจะเอาผิดกับผู้ปฏิบัติย่อมไม่ได้ เพราะได้ประโยชน์จากผลการไต่สวนฯและข้อยกเว้นความรับผิดนั้นแล้ว (จบไหม?)

ข้อกล่าวหาว่า “การใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารระงับเหตุไม่เป็นไปตามหลักสากล และไม่อยู่ในเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด การกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจึงเข้าข่ายความผิดการใช้อำนาจโดยมิชอบนั้น เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตาม ป.อ. ม.157” คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง และไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญา

[7] มันไม่ใช่คดีฆาตกรรม(ป.ป.ช.และศาลยุติธรรม เห็นสอดคล้องกัน) ทั้งๆที่การฟ้องคดีต่อศาลอาญา เจ้าพนักงานใช้อาวุธสงครามยิงผู้ตาย ย่อมเป็นการกระทำนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยทั้งสอง ทั้งการ มีคำสั่งอนุมัติใช้อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนปฏิบัติหน้าที่ จำเลยทั้งสองมีเจตนาเล็งเห็นผลว่าเจ้าพนักงานจะใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนได้ เป็นเรื่องการกระทำนอกเหนือตำแหน่งราชการ เป็นการก่อหรือใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น เป็นความผิดฐานก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 84

สรุป คดีทั้งหมดเกี่ยวกับการชุมนุม 2553 จึงกลับมาอยู่ในมือของป.ป.ช.

สุดท้ายส่งท้ายปี (29 ธ.ค.58) ป.ป.ช. มีมติให้ทั้งสองคดีตกไป เพราะเห็นว่าการ คำสั่งที่มีหลักฐานลงนามโดย ผอ.ศอฉ. ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากล คือ ความตายที่เกิดจากอาวุธทหารเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ

[8] ที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อธิบายกับน้องนักศึกษาคนนั้น ตอบได้ถูกต้องในผลของคดีที่กล่าวหาเขา เพราะ…ศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจพิจารณาสำนวนสอบสวนความผิดที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช. ปิดจบ(ไง) แต่ความรับผิดชอบของมนุษยธรรมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย จากการชุมนุมทางการเมือง มันยากที่จบลงด้วยการเดินหนีไป.”



https://www.matichon.co.th/politics/news_5439979

ขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี ใครได้ประโยชน์?


ขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี ใครได้ประโยชน์? | ชั่วโมงข่าว เสาร์ - อาทิตย์ | 2 พ.ย. 68

Thai PBS

Nov 1, 2025 

ชวนคุณผู้ชมพูดคุย แนวคิดการ ‘ขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี’ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่? เพราะประเทศไทยกำลังก้าวสู่ ‘สังคมอายุยืน’ ที่คนไทยจำนวนมากมีอายุเกิน 100 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=6opshbkgwJs
.....

Thamrongsak Petchlertanan
15 hours ago
·
แทนการคิดถึงขยายอายุราชการ แนวทางที่ควรต้องทำคือ ลดจำนวนข้าราชการ หาทางลดเงินบำเหน็จบำนาญในอนาคต เพราะมันเพิ่มขึ้นสูงมากทุกปี และหาทางเพิ่มรายได้ประชาชนทั่วไปที่เกษียณให้มีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ มากกว่า นะรัฐบาลอนุทิน



PRT : คลังสารสนเทศรัฐสภา
May 22
·
เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ

​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ งบประมาณรายจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 11 ปี จาก 175,693 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 364,288.75 ล้านบาท ในปี 2569 เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ปีละประมาณ 6.85%


2569 ​งบประมาณ 364,288,750,000 บาท
2568 งบประมาณ 354,500,000,000 บาท ​
2567 งบประมาณ 333,043,366,700 บาท
2566 งบประมาณ 322,790,000,000 บาท
2565 งบประมาณ 310,600,000,000 บาท
2564 งบประมาณ 300,435,514,000 บาท
2563 งบประมาณ 265,716,318,000 บาท
2562 งบประมาณ 223,762,000,000 บาท
2561 งบประมาณ 191,222,723,100 บาท
2560 งบประมาณ 179,167,000,000 บาท
2559 งบประมาณ 175,693,000,000 บาท

​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ ที่มา : ​ เอกสารงบประมาณ ฉบับที่ 1 รายรับรายจ่ายเปรียบเทียบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2569

https://www.facebook.com/thamrongsak.petchlertanan/posts/25463083986631063?ref=embed_post